การศึกษาทางคลินิกเพื่อประเมินผลของสารสกัดใบหม่อน (Morus alba L.) และ tryptophan ต่อคุณภาพการนอนหลับในผู้ใหญ่ที่มีปัญหาการนอนหลับ ทำการทดสอบในอาสาสมัครผู้ใหญ่อายุระหว่าง 25 50 ปี จำนวน 43 คน ได้รับอาหารมาตรฐานมีค่า glycemic load 55±10% แล้วแบ่งออกเป็นกลุ่มที่ได้รับสารสกัดใบหม่อน 750 มก. ร่วมกับ whey protein ประกอบด้วย tryptophan 120 มก. สังกะสี 1.35 มก. แมกนีเซียม 12.6 มก. วิตามิน B3 1.93 มก. และวิตามิน B6 0.135 มก. และกลุ่มควบคุมจะได้รับ wheat protein hydrolysate 4 ก. แต่ละกลุ่มจะทำการทดสอบ 14 วัน แล้วสลับการทดสอบ โดยมีระยะพัก 28 วัน ประเมินผลการศึกษาหลักด้วย actigraphy เพื่อวัดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มเข้านอนจนกระทั่งหลับ (sleep onset latency) และประสิทธิภาพการนอนหลับ ประเมินผลการศึกษารอง ได้แก่ การตอบสนองของระดับน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง อารมณ์และการรับรู้ ผลการทดสอบพบว่าการรับประทานสารสกัดใบหม่อนร่วมกับ tryptophan มีผลลด sleep onset latency (actigraphy: −3.82 นาที, p = 0.026; self-report: −3.09 mins, p = 0.048) และลดการตอบสนองของระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารมื้อเย็นได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยค่าพื้นที่ใต้เส้นโค้งที่เพิ่มขึ้น (incremental area under the curve: iAUC) ที่ 1 ชม. ลดลง 21% (p < 0.001) และความเข้มข้นสูงสุดส่วนที่เพิ่ม (incremental maximum concentration) ลดลง 16% (p = < 0.001) รวมทั้งลดความผันผวนของระดับน้ำตาลในเวลากลางคืนตลอดระยะเวลา 14 วัน อาสาสมัครรายงานว่าคุณภาพการนอนหลับดีขึ้น (Karolinska Sleepiness Scale, −0.17, p = 0.041) และรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น (Brief Mood Introspection Scale, −0.4, p = 0.003) ในเช้าวันถัดไป เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม นอกจากนี้กลุ่มที่ได้รับสารสกัดใบหม่อนร่วมกับ tryptophan ยังส่งผลช่วยฟื้นฟูความกระปรี้กระเปร่าจากการประเมิน Profile of Mood Scale (0.8, p = 0.038) และไม่พบผลต่อประสิทธิภาพการรับรู้ จะเห็นว่าการลดระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหารส่งผลลด sleep onset latency และความผันผวนของระดับน้ำตาลในเวลากลางคืนที่ลดลงก็สัมพันธ์กับคุณภาพการนอนหลับที่ดีขึ้นและอารมณ์เชิงบวกในวันถัดไป จากผลการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับมื้อเย็นที่ประกอบด้วยสารสกัดใบหม่อนและ tryptophan ส่งผลดีต่อการเริ่มนอนหลับและคุณภาพการนอนหลับ และยังช่วยปรับปรุงอารมณ์หลังตื่นนอนในผู้ใหญ่ได้
Eur J Nutr. 2025;64(3):124. doi: 10.1007/s00394-025-03643-8.