นมที่ผ่านกระบวนการย่อยน้ำตาลแลคโตสหรือนมไฮโดรไลซ์แลคโตส (lactose-hydrolyzed milk) ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายสำหรับผู้ที่แพ้แลคโตส อย่างไรก็ตามปริมาณ monosaccharide ในนมชนิดนี้อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มความผันผวนของระดับน้ำตาล การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลจากการใช้สารสกัดจากใบหม่อนและไหมข้าวโพดเสริมในนมที่ผ่านกระบวนการย่อยน้ำตาลแลคโตสต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหารในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 28 คน อายุระหว่าง 55 ± 10 ปี (มีระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร: 6.93 ± 1.22 มิลลิโมล/ล.) แบ่งให้อาสาสมัครรับประทานขนมปังโฮลเกรน (คาร์โบไฮเดรต 50 ก.) ร่วมกับเครื่องดื่ม 4 ชนิด ได้แก่ 1) น้ำเปล่า, 2) น้ำผสมสารสกัดจากใบหม่อนและไหมข้าวโพด, 3) นมไฮโดรไลซ์แลคโตส และ 4) นมไฮโดรไลซ์แลคโตสเสริมด้วยสารสกัดจากใบหม่อนและไหมข้าวโพด ปริมาณ 440 มล. แล้วสลับการทดสอบ โดยมีระยะพัก 7 วัน ทำการตรวจวัดระดับน้ำตาลกลูโคสขณะอดอาหารและหลังมื้ออาหารเป็นเวลา 2 ชั่วโมง คำนวณพื้นที่ใต้กราฟส่วนที่เพิ่ม (incremental area under the curve; iAUC) เปรียบเทียบความแตกต่างของ iAUC ด้วย Paired Wilcoxon signed-rank test, ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอาหาร 1 และ 2 ชั่วโมง (2h PG), ระดับน้ำตาลสูงสุด (maximum glycemic) และการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลสูงสุดจากค่าพื้นฐาน ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดจากใบหม่อนและไหมข้าวโพดมีความสัมพันธ์กับการลดระดับน้ำตาลสูงสุด (ค่ามัธยฐานของความแตกต่าง [ช่วงระหว่างควอไทล์]: -0.9 [-1.9, 0.4], P = 0.025) และลดการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลสูงสุดจากค่าพื้นฐาน (-0.9 [-1.5, -0.03], P = 0.005) เมื่อเทียบกับน้ำเปล่า นมไฮโดรไลซ์แลคโตสเสริมด้วยสารสกัดจากใบหม่อนและไหมข้าวโพดมีความสัมพันธ์กับการลดระดับน้ำตาลหลังมื้ออาหาร 1 ชม. (-0.7 [-1.9, 0.4], P = 0.04), ลดระดับน้ำตาลสูงสุด (-0.9 [-2.2, 0.4], P = 0.014) และลดการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำตาลสูงสุดจากค่าพื้นฐาน (-1.0 [-2.3, -0.4], P = 0.003) เมื่อเทียบกับนมไฮโดรไลซ์แลคโตสเพียงอย่างเดียว จากผลการทดสอบสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบหม่อนและไหมข้าวโพดอาจส่งผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดหลังมื้ออาหาร การนำสารสกัดเหล่านี้ไปผสมในนมไฮโดรไลซ์แลคโตสมีแนวโน้มช่วยลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ อย่างไรก็ตามควรมีการทดสอบเพิ่มเติมต่อไป
Clin Nutr ESPEN. 2025;67:549-54. doi: 10.1016/j.clnesp.2025.03.174.