1. ชื่อสมุนไพร ผักคราดหัวแหวน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Acmella oleracea (L.) R.K.Jansen
ชื่อพ้อง Spilanthes acmella (L.) Murray
ชื่ออังกฤษ Para cress
ชื่อท้องถิ่น ผักคราด ผักเผ็ด อึ้งฮวยเกี้ย
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านมาก สูงได้ถึง 30 เซนติเมตร ใบเดี่ยวออกเรียงสลับกัน เป็นรูปไข่หรือรูปไข่แกมใบหอก มีขนาดกว้าง 1-2.5 เซนติเมตร ยาว 2-4 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนสอบแคบลง ขอบใบเรียบหรือจักเป็นฟันเลื่อยห่างๆ ดอกออกเป็นช่อกระจุกแน่น มีริ้วประดับสองชั้น เป็นรูปไข่แกมใบหอก ดอกย่อยวงนอกเป็นดอกเพศเมีย ลักษณะสมมาตรด้านข้าง ดอกย่อยวงในเป็นแบบสมบูรณ์เพศ กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอด สมมาตรตามรัศมี ผลแห้งมีสัน 3 ด้าน ยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร ปลายมีระยางค์เป็นหนาม 1-2 อัน
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
- ดอก ใช้แก้ปวดฟัน
4. สารสำคัญที่เชื่อว่าเป็นสารออกฤทธิ์ หรือสารที่ใช้ประเมินคุณภาพของสมุนไพร
Spilanthol เป็นสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ (1)
5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
5.1 ฤทธิ์ยาชาเฉพาะที่
ในการทดลองทาสารสกัดด้วยเอทานอลจากผักคราดหัวแหวน ความเข้มข้น 10% บนปลายลิ้นของอาสาสมัครเปรียบเทียบกับยาชา lidocaine 10% แล้วกระตุ้นด้วยไฟฟ้า พบว่าสารสกัดออกฤทธิ์ทำให้ชาเร็วกว่าแต่มีระยะเวลาออกฤทธิ์สั้นกว่า lidocaine (2) ส่วนการทดสอบโดยการทาสารสกัดด้วยเอทานอล 95% จากผักคราดหัวแหวน ความเข้มข้น 10% ที่ในกระพุ้งแก้ม แล้วทดสอบอาการชาต่อเข็มจิ้มเทียบกับ lidocaine 10% พบว่าสารสกัดสามารถลดความเจ็บปวดจากเข็มจิ้มได้เทียบเท่ากับยาชา (3)
แต่จากการศึกษาในผู้ป่วยหญิง 200 คน โดยวางสำลีรองเฝือกที่หลังมือหรือแขนทั้ง 2 ข้าง ตรงที่จะแทงเข็มให้น้ำเกลือ โดยตำแหน่งตรงกันทั้ง 2 ข้างในคนเดียวกัน แล้วหยดแอลกอฮอล์ 70% ปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร บนสำลีข้างหนึ่ง และหยดสารสกัดจากผักคราดหัวแหวนปริมาณ 0.5 มิลลิลิตร ลงบนสำลีรองเฝือกอีกข้างหนึ่ง แล้วจึงใช้เข็มเบอร์ 18 แทงตรงตำแหน่งที่ทายาไว้ข้างละเข็มเมื่อประเมินผลการระงับความเจ็บปวด พบว่า สารสกัดไม่สามารถระงับความเจ็บปวดจากการแทงเข็มให้น้ำเกลือได้ ซึ่งไม่แตกต่างจากการทาแอลกอฮอล์ 70% ทั้งนี้คาดว่าเนื่องจากสารสกัดไม่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ แตกต่างกับเนื้อเยื่อบุผิวที่สารสกัดซึมผ่านได้ง่าย (4)
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองโดยฉีดน้ำคั้น สารสกัดด้วยน้ำความเข้มข้น 25% สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 95% ความเข้มข้น 10% จากลำต้นพร้อมใบและดอกเข้าใต้ผิวหนังหนูตะเภา เปรียบเทียบกับ lidocaine 2% ทดสอบความรู้สึกชาด้วยการใช้ไฟฟ้ากระตุ้น พบว่าน้ำคั้น สารสกัดด้วยน้ำ และสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ ทำให้หนูมีอาการชาทันที เช่นเดียวกับ lidocaine แต่ระยะเวลาการออกฤทธิ์สั้นกว่า เมื่อนำสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์จากส่วนเหนือดินความเข้มข้น 10% มาทดสอบกับเส้นประสาท siatic nerve ของกบ เปรียบเทียบกับ lidocaine 2% พบว่าสารสกัดด้วยอัลกอฮอล์ออกฤทธิ์ทำให้ชาได้เร็วกว่า lidocaine และเส้นประสาทที่ถูกทำให้ชาไปแล้วสามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ แสดงว่าสารสกัดไม่เป็นพิษต่อเซลล์ประสาท เมื่อศึกษาดูผลของสารสกัดต่อการระคายเคืองเนื้อเยื่อบริเวณที่ถูกฉีดโดยใช้สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 10% ขนาด 0.1 มิลลิลิตร พบว่าภายใน 24 ชั่วโมง ไม่พบความผิดปกติของผิวหนังชั้นนอก แต่มีบวมเล็กน้อยใต้ผิวหนัง และมีการคั่งของหลอดเลือดฝอย มีการบวมและอักเสบ ในชั้นหนังแท้ (dermis) แต่ไม่พบเนื้อเยื่อตาย ความผิดปกติเหล่านี้หายไปเมื่อเวลาผ่านไป 7 วัน ในขณะที่ผิวหนังบริเวณที่ฉีด lidocaine 2% มีการบวมระหว่างเซลล์ และการคั่งของหลอดเลือดฝอยเช่นเดียวกับสารสกัด และไม่พบความผิดปกติของเนื้อเยื่อหลังจากเวลาผ่านไป 7 วันเช่นกัน (5)
5.2 ฤทธิ์ระงับปวด
การศึกษาฤทธิ์ระงับปวดของสารสกัดจากผักคราดหัวแหวน ในรูปแบบต่างๆพบว่าไม่มีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นยาแก้ปวด (6-8)
5.3 ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
การศึกษาในหลอดทดลองพบว่า สารสกัดด้วยเอทิลอะซีเตตจากผักคราดหัวแหวนมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มก็มีฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์แมคโครฟาจสายพันธุ์ RAW 264.7 ที่ถูกกระตุ้นด้วย lipopolysaccharide โดยพบว่าสารสำคัญ spilanthol ออกฤทธิ์ยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบคือ nitric oxide synthase และ cyclooxygenase -2 (COX-2) (1)
6. อาการข้างเคียง
ยังไม่มีรายงาน
7. ความเป็นพิษทั่วไปและต่อระบบสืบพันธุ์
7.1 การทดสอบความเป็นพิษ
เมื่อฉีดสารสกัดด้วยอีเทอร์ สารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 70% และส่วนสกัดที่ไม่ถูกสกัดด้วยอีเทอร์ จากผักคราดหัวแหวนเข้าช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่าส่วนสกัดด้วยอีเทอร์มีความเป็นพิษมาก ส่วนสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์ 70% และส่วนสกัดที่ไม่ถูกสกัดด้วยอีเทอร์มีพิษปานกลาง (6)
8. วิธีการใช้แก้ปวดฟัน
8.1 ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ใช้ดอกตำกับเกลืออมหรือกัดไว้บริเวณที่ปวดฟัน (9)
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ไม่มี
เอกสารอ้างอิง
1. Li-Chen W, Nien-Chu F, Ming-Hui L, Inn-Ray C, Shu-Jung H, Ching-Yuan H, Shang-Yu H. Anti-inflammatory effect of Spilanthol from Spilanthes acmella on murine macrophage by down-regulating LPS-induced inflammatory mediators. J Agric Food Chem 2008; 56(7):2341-9.
2. Saengsirinavin C, Nimmanon V. Evaluation of topical anesthetic action of Spilanthes acmella on human tounge. Ann Res Abstr, Bangkok: Mahidol University, 1988;15:25.
3. Saengsirinavin C, Saengsirinavin S. Topical anesthetic activity of Spilanthes acmella extract in reducing injection pain. Ann Res Abstr, Bangkok: Mahidol University, 1988;15:26.
4. ปิ่น นิลประภัสสร กิติศักดิ์ พงศ์ธนา. การศึกษาฤทธิ์ระงับความรู้สึกที่ผิวของส่วนสกัดจากผักคราดหัวแหวนสำหรับการแทงน้ำเกลือ. รวบรวมผลงานวิจัย โครงการพัฒนาการใช้สมุนไพร และยาไทยทางคลินิก (2525-2536), 2536:101-4.
5. เชวงเกียรติ แสงศิรินาวิน บุญสม วรรณวีรกุล พนัก เฉลิมแสนยากร. ฤทธิ์ชาเฉพาะที่ ของผักคราดหัวแหวน. รวบรวมผลงานวิจัย โครงการพัฒนาการใช้สมุนไพร และยาไทยทางคลินิก (2525-2536), 2536:91-9.
6. ปัทมา เทพสิทธา. การศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดจากผักคราดหัวแหวน. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชาเภสัชวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2525.
7. วีรพล คู่คงวิริยพันธุ์ พัชรีวัลย์ ปั้นเหน่งเพ็ชร บุญเกิด คงยิ่งยศ และคณะ. ศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของต้นบัวบก และผักคราดหัวแหวน. รวมบทคัดย่องานวิจัยการแพทย์แผนไทยและทิศทางการวิจัยในอนาคต, 2543:38
8. Ansari AH, Mukharya DK, Saxena VK. Analgesic study of N-isobutyl-4,5-decadienamide isolated from the flowers of Spilanthes acmella Murr. Thai J Pharm Sci 1988;13(4):465.
9. กองวิจัยและพัฒนาสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. สมุนไพรพื้นบ้าน ฉบับรวม. กรุงเทพฯ: Text and Journal Corporation Co. Ltd., 2533.