มะแว้งเครือ |
1. ชื่อสมุนไพร มะแว้งเครือ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Solanum trilobatum L.
ชื่อวงศ์ Solanaceae
ชื่อพ้อง -
ชื่ออังกฤษ -
ชื่อท้องถิ่น แขว้งเคีย
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เลื้อย มีหนามตามกิ่งก้าน ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่ กว้าง 4-5 ซม. ยาว 5-8 ซม. ขอบใบเว้า มีหนามตามเส้นใบ ดอกช่อ ออกที่ปลายกิ่งและซอกใบ กลีบดอกสีม่วง ผลเป็นผลสดรูปกลม ผลดิบสีเขียวมีลายตามยาว เมื่อสุกสีแดง (1, 2)
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
ผลแก่สด รสขม เป็นยากัดเสมหะ
4. สารสำคัญ
ผล มีสาร solasodine, solanidine (3)
5. การศึกษาทางคลินิก และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
การศึกษาทางคลินิก
ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
การศึกษาขอมูลยอนหลังชวงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2558 จากเวชระเบียนของผูปวยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ไดรับการวินิจฉัยจากแพทยแผนปจจุบัน จํานวน 20 ราย ไดรับยาตํารับมธุรเมหะ (ประกอบด้วยสมุนไพรทั้งสิ้น 26 ชนิด พบว่ามีรายงานข้อมูลทางเภสัชวิทยาของสมุนไพรในตำรับว่ามี 13 ชนิดที่มีรายงานว่ามีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดในสัตว์ทดลอง ได้แก่ กำแพงเจ็ดชั้น ข้าวเย็นใต้ ข้าวเย็นเหนือ ครอบจักรวาล โคกกระสุน บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร มะแว้งเครือ สมอไทย สมอพิเภก หญ้าหนวดแมว แห้วหมู และอินทนิลน้ำ เป็นต้น) ของโรงพยาบาลการแพทยแผนไทยและการแพทยผสมผสาน ขนาด 300 มก. กอนอาหารเชา-เย็น ติดตอกัน 14 วัน จากนั้นเปรียบเทียบระดับน้ำตาลในเลือดกอนและหลังการรักษาในโรงพยาบาล การแพทยแผนไทยและการแพทยผสมผสาน พบว่าอาสาสมัครเพศชาย จํานวน 10 ราย มีชวงอายุ 49-80 ป มีคาเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดกอนและหลังไดรับตํารับมธุรเมหะรวมกับยาแผนปจจุบัน เทากับ 162.30 ± 22.77 และ 139.00 ± 13.97 มก./ดล. ตามลําดับ และเชนเดียวกันกลุมอาสาสมัครเพศหญิง จํานวน 10 ราย มีคาเฉลี่ยระดับน้ำตาลในเลือดกอนและหลังไดรับตํารับมธุรเมหะรวมกับยาแผนปจจุบัน เทากับ 153.00 ± 27.30 และ 130.30 ± 26.24 มก./ดล. ตามลําดับ ระดับน้ำตาลในเลือดของกลุมอาสาสมัครลดลงอยางมีนัยสําคัญทางสถิติ (4) เช่นเดียวกับการศึกษาของ ภริตา และคณะว่าตำรับยามธุรเมหะเมื่อศึกษาผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 347 คน มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 48.91 ± 10.22 ปี เพศหญิงจำนวน 286 คน (ร้อยละ 82.8) ดัชนีมวลกายเฉลี่ย 24.98 ± 3.59 กก./ม2 ระยะเวลาในการเป็นเบาหวานเฉลี่ย 6.9 ± 4.59 ปี พบว่ากลุ่มที่ใช้ยามธุรเมหะร่วมกับยาเมทฟอร์มิน และยามธุรเมหะร่วมกับทั้งเมทฟอร์มิน และยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย มีระดับนน้ำตาลในเลือดช่วงอดอาหารลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนการใช้ยามธุรเมหะแบบเดี่ยวหรือร่วมกับยาแผนปัจจุบันชนิดอื่นไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสัญทางสถิติ ผู้ป่วยที่ได้รับการตรวจ HbA1c ทั้งก่อนและหลังได้รับยามธุรเมหะ มีจำนวน 125 คน (ร้อยละ 35.61) ซึ่งทั้ง 4 กลุ่ม ไม่พบว่ามีความแตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังได้รับยา ค่าการทำงานของตับและไตไม่แสดงความรุนแรงของโรคค่าอัตราการกรองผ่านไต (eGFR) ก่อนและหลังไม่แตกต่างกัน และไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง การใช้ยามธุรเมหะเป็นระยะเวลา 3 ปี อาจมีฤทธิ์เสริมกับยาเมทฟอร์มินในการลดระดับน้ำตาลในเลือด เมื่อใช้ในผู้ป่วยเบาหวานที่แรกเริ่มวินิจฉัยหรือเป็นเบาหวานในระดับกลางที่ไม่สามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ขนาดยามธุรเมหะ ที่ใช้ต่ำสุดและสูงสุดเท่ากับ 350 - 3,500 มก./วัน นอกจากนี้ยังไม่พบผลข้างเคียงที่รุนแรงต่อไต ไม่มีผลในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด (5)
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต้านการอักเสบ
การศึกษาฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือในหนูถีบจักร โดยสกัดผลมะแว้งเครือด้วยน้ำ 95%เอทานอล และสกัดด้วย 95%เอทานอลผสมกรดไฮโดรคลอริก ในอัตราส่วน 10:1 แล้วนำสารสกัดทั้งสามชนิดมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบในหนูถีบจักร โดยใช้การเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบทั้งแบบเฉพาะที่ภายนอก และแบบที่เกิดการอักเสบในช่องท้อง การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือทั้งในการป้องกันและการรักษาอาการบวมของใบหูหนูถีบจักร ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบโดยการทาสาร ethyl-phenylpropiolate (EPP) และสารทดสอบบริเวณใบหูของหนูถีบจักรด้านใน และด้านนอก การศึกษาฤทธิ์ป้องกันโดยการทาสารสกัดจากผลมะแว้งเครือก่อนเป็นเวลา 2 ชั่วโมง แล้วเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย EPP ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดทั้ง 3 ชนิด ขนาด 0.5, 1 และ 2 มก./หู สามารถป้องกันการบวมของใบหูของหนูถีบจักร โดยแปรผันตรงตามความเข้มข้นของสารสกัด สำหรับการทดสอบฤทธิ์ในการรักษาการอักเสบ ศึกษาในหนูถีบจักรเช่นกัน โดยเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบของใบหูด้วยการทา EPP เป็นเวลา 1 ชั่วโมงก่อน แล้วทดสอบฤทธิ์ของสารสกัดน้ำ และสารสกัดเอทานอล ขนาด 0.5, 1 และ 2 มก./หู และสารสกัดเอทานอล ผสมกรดไฮโดรคลอริก ขนาด 0.25, 0.5 และ 1 มก./หู พบว่าสารสกัดทั้ง 3 ชนิด สามารถลดการบวมของใบหูของหนูถีบจักร ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<0.01) ซึ่งแปรผันตามความเข้มข้นของสารสกัด สารสกัดทั้ง 3 ชนิด แสดงฤทธิ์ป้องกัน และรักษาการอักเสบตลอด 4 ชั่วโมง ของการทดลอง เมื่อเปรียบเทียบกับสารมาตรฐาน เดกซาเมทาโซน 0.05 มก./หู ส่วนการทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือด้วยเอทานอล โดยใช้การทดสอบการอักเสบในช่องท้อง 2 วิธี ได้แก่ กรดอะซิติกเหนี่ยวนำให้เกิดการเคลื่อนที่ของของเหลวออกนอกหลอดเลือด และคาราจีแนนเหนี่ยวนำให้เกิดการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาว พบว่าสารสกัด 95%เอทานอล (200, 400 และ 600 มก./กก.) แสดงฤทธิ์ต้านการอักเสบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P< 0.001) ในทั้ง 2 วิธีการทดสอบ อย่างไรก็ตามพบว่าสารสกัดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบน้อยกว่าสารมาตรฐานสำหรับลดการอักเสบ (เดกซาเมทาโซน 1 มก./กก. และอินโดเมทาซิน 10 มก./กก.) จากการศึกษาดังกล่าวนี้ สรุปได้ว่าสารสกัดน้ำ สารสกัด 95%เอทานอล และสารสกัด 95%เอทานอลผสมกรดไฮโดรคลอริกจากผลมะแว้งเครือมีฤทธิ์ต้านการอักเสบในรูปแบบการทาภายนอก และยังพบว่าสารสกัด 95%เอทานอลมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเมื่อให้โดยป้อนทางปากด้วย (6)
สารสกัดเมทานอลของใบมะแว้งเครือ ขนาด 100, 200 และ 300 มก./กก. เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ต้านการอักเสบแบบเฉียบพลัน และเรื้อรัง ในหนูแรท พบว่าสารสกัดเมทานอลของใบมะแว้งเครือขนาด 300 มก./กก. นน.ตัว สามารถต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้มากที่สุดถึง 54.44% เมื่อเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนนที่ทำให้อุ้งเท้าหนูบวม ในขณะที่ยาแผนปัจจุบัน indomethacin สามารถต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ 57.08% ส่วนสารสกัดเมทานอลของใบมะแว้งเครือ ขนาด 100, 200 และ 300 มก./กก. สามารถต้านการอักเสบแบบเฉียบพลันได้ เมื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบที่อุ้งเท้าหนูด้วย สาร dextran, histamine และ serotonin และฤทธิ์ต้านการอักเสบจะเพิ่มมากขึ้นตามขนาดของสารสกัด ส่วนการต้านการอักเสบแบเรื้อรังพบว่า สารสกัดเมทานอลของใบมะแว้งเครือ ขนาด 200 และ 300 มก./กก. สามารถต้านการอักเสบของเนื้องอกชนิดแกรนนูโลมา (granuloma) ได้ 22.65% ในขณะที่ยาแผนปัจจุบัน indomethacin สามารถต้านการอักเสบได้ 28.37% จากการศึกษาสรุปได้ว่าสารสกัดเมทานอลของใบมะแว้งเครือ ขนาด 100, 200 และ 300 มก./กก. สามารถต้านการอักเสบแบบเฉียบพลัน และเรื้อรัง ในหนูแรทได้ใกล้เคียงกับยาแผนปัจจุบัน indomethacin (Sahu, 2013)
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
การทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดเมทานอล และน้ำ ของใบและผลมะแว้งเครือด้วยวิธี hydroxyl free radical scavenging assay พบว่าสารสกัดเมทานอลของผลมะแว้งเครือมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระได้สูงที่สุด 28.72% ตามด้วยสารสกัดเมทานอลของใบ สารสกัดน้ำของใบ และสารสกัดน้ำจากผลมะแว้งเครือ ตามลำดับ (Kumar, 2016) การศึกษาในหนูแรทเพศผู้ แบ่งหนูออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมปกติไมได้รับสารใดๆ กลุ่มที่ 2 ได้รับสาร thioacetamide (TAA) ที่ทำให้เกิดพิษที่ตับ กลุ่มที่ 3 และ 4 ป้อนสารสกัดน้ำจากใบมะแว้งเครือ ขนาด 100 และ 200 มก./กก. นน.ตัว วันละ 1 ครั้ง ตามลำดับ นานติดต่อกัน 10 วัน หลังจากนั้นเจาะเลือดหนูดูค่าการทำงานของตับ พบว่าในกลุ่มที่ได้รับสารพิษ TAA ค่าเอนไซม์ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในเลือดและตับ glutathione (GSH), superoxide dismutase (SOD), catalase (CAT), glutathione peroxidase (GPx) มีค่าลดลง แต่สารอนุมูลอิสระมากขึ้น ส่วนในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำจากใบมะแว้งเครือพบว่าเอนไซม์ GSH, SOD, CAT และ GPx มีค่าเพิ่มมากขึ้น แต่สารอนุมูลอิสระลดลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสารสกัดน้ำจากใบมะแว้งเครือมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องการทำลายตับ (Ganesan, 2017)
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย
การศึกษาในหลอดทดลองสารสกัดน้ำของมะแว้งเครือ (ไมระบุส่วนที่ใช้) พบว่าค่าความเข้มข้นต่ำสุดในการยับยั้งเชื้อดังกล่าว (MIC) Staphylococcus aureus, Bacillus subtilus, Escherichia coli และ Klebsiella species มีค่าอยู่ในช่วง 0.06 - 0.5 มก./มม. (Balakrishnan, 2015) การศึกษาในหลอดทดลองสารสกัดน้ำ เมทานอล คลอโรฟอร์ม ของใบ ผล รากมะแว้งเครือต่อเชื้อแบคทีเรียชนิด S. aureus และ K. pneumonia พบว่าสารสกัดเมทานอลให้ผลดีที่สุดในการยับยั้งเชื้อ โดยที่สารสกัดเมทานอลจากใบ และผลมะแว้งเครือมีค่า MIC เท่ากับ 20 และ 30 มก./มล. ต่อเชื้อ S. aureus ตามลำดับ และ MIC ของสารสกัดเมทานอลจากใบ และผลมะแว้งเครือ ต่อเชื้อ K. pneumonia เท่ากับ 30 มก./มล. (Natheer, 2015)
ฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด
การศึกษาโดยสกัดผลมะแว้งเครือ ด้วยตัวทำละลายชนิดต่างๆ ได้แก่ น้ำ, เมทานอล, เอทานอล แล้วนำสารที่สกัดได้มาทดสอบฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสัตว์ทดลอง ผลการทดสอบพบว่าสารสกัดน้ำของผลมะแว้งเครือ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดกระต่ายได้หลังจากกระต่ายได้รับสารสกัดสมุนไพร 2 ชั่วโมง โดยสารสกัดสมุนไพรที่สกัดด้วยเอทานอลของผลมะแว้งเครือ ลดระดับน้ำตาลได้หลังจากกระต่ายได้รับ 2 และ 3 ชั่วโมง จากผลการทดลองนี้แสดงว่า สารสกัดจากผลมะแว้งเครือสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ (12)
การศึกษาฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือดของสารสกัดน้ำจากใบมะแว้งเครือ ทำการทดลองในหนูแรทสายพันธุ์วิสตาร์ ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นเบาหวานด้วย streptozotocin (STZ) แล้วป้อนสารสกัดน้ำจากใบมะแว้งเครือ ในขนาด 100 และ 200มก/กก. พบว่าสารสกัดสามารถเพิ่มการทำงานของ hepatic hexokinase (โดยเพิ่มการเกิด กระบวนการ glycolysis ทำให้มีการนำกลูโคสในเลือด มาใช้เป็นพลังงาน) และลดปริมาณ hepatic glucose-6-phosphatase, serum acid phosphatase (ACP), alkaline phosphatase (ALP) และ lactate dehydrogenase (LDH) (สารเหล่านี้จะพบในปริมาณสูงในภาวะเบาหวาน โดยจะหลั่งออกจากเนื้อเยื่อเข้าสู่กระแสเลือด) โดยสรุปสารสกัดใบมะแว้งเครือสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ทั้งยังช่วยปกป้องตับได้ (13)
6. อาการข้างเคียง
ยังไม่มีรายงาน
7. การทดสอบความเป็นพิษ
การศึกษาความเป็นพิษของสารสกัดผลมะแว้งด้วยเอทานอล ในหนูถีบจักรสายพันธุ์ ICR และหนูขาวสายพันธุ์วิสตาร์ โดยการทดสอบพิษเฉียบพลัน ให้สารสกัดทางปาก ในขนาด 5 ก./กก. เพียงครั้งเดียว ผลพบว่าไม่ทำให้หนูตาย และไม่พบอาการผิดปกติ น้ำหนักตัวหนูไม่เปลี่ยนแปลง การทดสอบพิษเรื้อรังในหนูขาวเพศผู้ โดยป้อนสารสกัดขนาด 1ก./กก. เป็นเวลา 28 วัน ไม่พบการตายของหนู และไม่พบอาการเกิดพิษ ค่าน้ำหนักตัว อาการทางคลินิก ค่าชีวเคมีในเลือด และเนื้อเยื่อไม่เปลี่ยนแปลง การทดสอบการระคายเคืองของสารสกัด โดยทดสอบที่ผิวหนังของกระต่าย โดยทาสารทดสอบปริมาณ 0.5 มล. (400 mg/ml) หลังทาสารทดสอบที่เวลา 1, 2, 3, 24, 48 และ 72 ชม. พบว่าไม่เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังกระต่าย (14)
8. วิธีการใช้
8.1 ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ใช้รักษาอาการไอและขับเสมหะ นำเอาผลแก่สด 5 - 10 ผล โขลกพอแหลก คั้นเอาแต่น้ำ ใส่เกลือรับประทานบ่อย ๆ หรือใช้ผลสดเคี้ยวแล้วกลืนทั้งน้ำและเนื้อจนกว่าอาการจะดีขึ้น
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ไม่มี
เอกสารอ้างอิง
1. พร้อมจิต ศรลัมพ์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ:บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ จำกัด, 2535:257 หน้า
2. มาโนช วามานนท์ เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ. ผักพื้นบ้าน : ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก, 2538:256 หน้า.
3. Thongchai W, Thongpoon C, Saysin S, Liawruangrath B. Development of HPLC method for the determination of solasodine and solanidine. 33rd Congress on Science and Technology of Thailand, October 18-20, 2007, Walailak University, Nakorn Sri Thammarat, Thailand 2007.
4. ภาวุฒิ การสะสม ฑิตาพร แซ่เจีย ศิริมา วงศาวัฒนานนท์ และคณะ. ประสิทธิผลของตำรับยามธุรเมหะในผู้ป่วยเบาหวานโรงพยาบาล การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน. บทคัดย่อประกวดผลงานวิชาการประจำปีการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้าน และการแพทย์ทางเลือกแห่งชาติ ครั้งที่ 13, 2016 หน้า 27.
5. Permphol P, Tharavanij T, Itharat A, Srimongkol Y, Chinsoi P, Chanpen O. Efficacy and safety of Mathurameha for type 2 diabetes mellitus treatment. Thammasat Med J. 2016; 16(4):589-99.
6. วันทณี หาญช้าง.ฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอาการคันของสารสกัดจากผลมะแว้งเครือ [วิทยานิพนวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (เภสัชศาสตร์ชีวภาพ)].กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยมหิดล; 2549.
7. Sahu J, Rathi B, Koul S, Khosa RL. Solanum trilobatum (Solanaceae) An Overview. J Nat Remedies. 2013;13(2):76-80.
8. Sorna Kumar RSA, Karthick Raja N, Vijay M, Guru Raja CS. Anti-oxidant, anti-diabetic, antimicrobial and hemolytic activity of Solanum torvum and Solanum trilobatum. J Pharm Sci & Res. 2016;8(8):725-8.
9. Ganesan K, Sukalingam K and XuGanesan B. Solanum trilobatum L. ameliorate thioacetamide -induced oxidative stress and hepatic damage in albino rats. Antioxidants. 2017;6(3):68;doi:10.3390/ antiox6030068.
10. Balakrishnan P, Musafar Gani TA, Subrahmanyam S and Shanmugam K. A perspective on bioactive compounds from Solanum trilobatum. J Chem Pharm Res. 2015;7(8):507-12.
11. Esath Natheer S, Thenmozhi A and Syed Abdul Rahman M. Studies on antibacterial activity and phytochemical analysis of Solanum trilobatum against some human pathogens. IJSR. 2015;1(5):124-8.
12. สุรัตน์ ทัศนวิจิตรวงศ์. การศึกษาทางเคมีและทางชีวเคมี ของสารอินทร์ในพืชที่มีฤทธิ์เป็นยาแก้เบาหวาน [วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาเคมี]. เชียงใหม่. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ :2522.
13. Kumar G, Banu GS, Balapala KR. Ameliorate the effect of Solanum trilobatum L. on hepatic enzymes in experimental diabetes. NPAIJ. 2011;7(6): 315-319.
14. Thongpraditchote S, Hanchanga W, Wongkrajang Y, Temsiririrkkul R, Atisuk K. Toxicological Evaluation of Solanum trilobatum L. Fruit Extract. Mahidol University Journal of Pharmaceutical Sciences. 2014;41(4):39-46.