มะระขี้นก |
1. ชื่อสมุนไพร มะระขี้นก
ชื่อวิทยาศาสตร์ Momordica charantia L.
ชื่อวงศ์ Cucurbitaceae
ชื่อพ้อง Momordica indica L., Momordica elegans Salisb.,
Momordica operculata Vell.
ชื่ออังกฤษ Balsam apple, Balsum pear, Bitter cucumber, Bitter gourd,
Bitter melon, Carilla fruit, Leprosy gourd
ชื่อท้องถิ่น ผักเหย ผักไห มะร้อยรู มะระ มะห่อย มะไห่ สุพะซู สุพะเด
2. ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้เถา มีมือเกาะ ใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปฝ่ามือ กว้างและยาวประมาณ 4-7 ซม. ขอบใบเว้าเป็นแฉกลึก 5-7 แฉก ดอกเดี่ยว ออกที่ซอกใบ แยกเพศ อยู่บนต้นเดียวกัน กลีบดอกสีเหลืองรูประฆัง ผลเป็นผลสด รูปกระสวย ผิวขุรขระ มีรสขม (1)
3. ส่วนที่ใช้เป็นยาและสรรพคุณ
ผลที่ยังไม่สุก มีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ ดับพิษร้อน แก้ปากเปื่อย ปากเป็นขุม ขับพยาธิ บำรุงน้ำดี แก้อักเสบ ยาระบายอ่อนๆ และรักษาเบาหวาน (2)
4. สารสำคัญที่เป็นสารออกฤทธิ์
สารสำคัญในผลมะระ ได้แก่ charantin (3-6), polypeptide p (p-insulin) (7) และสารขมกลุ่มคิวเคอร์บิตาซิน เช่น momordicosides, karaviloside, และ momorcharaside (8)
5. ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา
1. ฤทธิ์ลดไข้
สารสกัดเอทานอลจากผล ขนาด 250 และ 500 มก./กก. มีฤทธิ์ลดไข้ในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นไข้ด้วยบริเวอร์ยีสต์ (Brewer's Yeast) โดยสารสกัดที่ขนาด 500 มก./กก. มีผลลดไข้ได้เทียบเท่ากับยาพาราเซตามอล ขนาด 20 มก./กก. (9) สารสกัด 50% เอทานอลจากทั้งต้น (10, 11) และผล (11) ไม่ระบุขนาดที่ใช้ เมื่อกรอกเข้าทางกระเพาะอาหารของกระต่าย (10) และหนูแรท (11) พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดไข้
2. ฤทธิ์แก้ปวด
เมื่อป้อนหนูเม้าส์ด้วยสารสกัดเอทานอลจากผลมะระ ขนาด 100 (12), 250 และ 500 มก./กก. (9, 12) หรือสารสกัดน้ำจากใบมะระขี้นก ขนาด 1 ก./กก. (13) พบว่าฤทธิ์แก้ปวด สารสกัดเมทานอลจากเมล็ดมีฤทธิ์แก้ปวดได้ เมื่อฉีดเข้าใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ โดยขนาดของสารสกัดที่ใช้ในการลดความปวดลงครึ่งหนึ่ง (ED50) เท่ากับ 5 มก./กก. ขณะที่การทดสอบในหนูแรทให้ผลไม่แน่นอน (14) สารสกัด 50% เอทานอลจากทั้งต้นและผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ เมื่อกรอกเข้าทางกระเพาะอาหารของหนูเม้าส์และหนูแรท พบว่าไม่มีฤทธิ์แก้ปวด (11)
3. ฤทธิ์ลดการอักเสบ
การทดสอบฤทธิ์ลดการอักเสบของสารสกัดน้ำ เมทานอล เอทานอล อะซีโตน และเอทิลอะซีเตทจากเมล็ดและผลของมะระ (M. charantia) และมะระสายพันธุ์ใหม่ (M. charantia MDS72 และ M. charantia ONS33) ความเข้มข้น 25-250 มคก./มล. โดยทดสอบในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย lipopoly-saccharide (LPS) พบว่าสารสกัดเอทิลอะซีเตทจากผลมะระพันธุ์ MDS72 มีฤทธิ์ดีที่สุดในการลดการอักเสบ โดยยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ ลดการหลั่งสารที่กระตุ้นการอักเสบ ได้แก่ interleuikin-6 (IL-6), prosta-glandin E2 (PGE2), tumor necrosis factor-alpha (TNF-a) และ monocyte chemoattractant protein-1 (MCP-1) และลดการแสดงออกของยีนของเอนไซม์ inducible nitric oxide synthase (iNOS), และ cyclooxygenase-2 (COX-2), IL-6 และ TNF-a ซึ่งสารสำคัญในสารสกัดเอทิลอะซีเตทที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ ได้แก่ (23E)-25-methoxycucurbit-23-ene-3b,7b-diol, (23E)-5b,19-epoxy-cucurbita-6,23-diene-3b,25-diol และ 3,7-dioxo-23,24,25,26,27-pentanorcucurbit-5-en-22-oic acid (15)
การศึกษาฤทธิ์ลดการอักเสบของน้ำคั้นจากผลในเซลล์ peritoneal macrophages ของหนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำด้วย LPS โดยให้น้ำคั้นความเข้มข้น 10 และ 500 มคก./มล. ก่อน, หลัง หรือให้พร้อมกับ LPS พบว่าการให้น้ำคั้นก่อนเหนี่ยวนำด้วย LPS มีฤทธิ์ลดการหลั่งสาร IL-1b, IL-6, TNF-a และเพิ่มการหลั่งสาร IL-10 และการให้พร้อมกับ LPS จะเพิ่มการหลั่ง IL-10 แสดงว่าน้ำคั้นจากผลมะระมีฤทธิ์ทั้งป้องกัน (prophy-lactic effect) และลดการอักเสบของเซลล์ได้ (16)
สารกลุ่ม cucurbitane triterpenoids ที่แยกได้จากสารสกัด 70% เอทานอลจากผล ได้แก่ taikugau- sins A-E และ 5b,19-epoxy-25-methoxycucurbita-6,23-diene-3b,19-diol (EMCD) เมื่อนำมาทดสอบฤทธิ์ลดการอักเสบในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย LPS พบว่าสาร taikugausins C และ taikugausins D มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนตริกออกไซด์ได้ โดยมีค่า IC50 เท่ากับ 8.61 และ 6.01 ไมโคร โมล่าร์ ตามลำดับ (17) สาร EMCD ที่แยกจากผลมะระป่า (M. charantia wild variant WB24) ความเข้มข้น 10-40 ไมโครโมล่าร์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบในเซลล์ FL83B ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย TNF-a โดยลดระดับของ iNOS, NF-kB, protein-tyrosine phosphatase-1B และ IL-1b ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสาร epigallocatechin-3-gallate (EGCG) ในชาเขียว พบว่าสาร EMCD จะมีฤทธิ์ลดการอักเสบได้ดีกว่า (18)
ส่วนสกัดบิวทานอลจากรกมะระดิบ ความเข้มข้น 25-200 มคก./มล. มีฤทธิ์ลดการอักเสบในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบด้วย LPS ได้ โดยยับยั้งการสร้าง TNF-a และที่ความเข้มข้น 50 มคก./มล. ยังมีผลลดการแสดงออกของยีนของ TNF, IL1a, IL1b, IL18, G1p2 และ Ccl5 ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบ เมื่อศึกษาถึงสารสำคัญในส่วนสกัด พบว่าประกอบด้วยสาร 1-a-linolenoyl-lysophosphatidyl-choline (LPC), 2-a-linolenoyl-LPC, 1-lynoleoyl-LPC และ 2-linoleoyl-LPC ซึ่งสาร 1-a-linolenoyl-LPC และ 1-linoleoyl-LPC ที่ความเข้มข้น 10 มคก./มล. มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง TNF-a ในเซลล์ RAW 264.7 ได้ (19)
เมื่อป้อนหนูแรทด้วยสารสกัดเอทานอลจากผลมะระ ขนาด 100, 250 และ 500 มก./กก. พบว่ามีฤทธิ์ลดการอักเสบ โดยสารสกัดขนาด 500 มก./กก. สามารถลดการบวมของอุ้งเท้าหนูที่เหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนนได้ 42.10% (12) สารสกัด 95% เอทานอลจากเมล็ด ขนาด 200 และ 400 มก./กก. มีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดอักเสบแบบเฉียบพลันด้วยวิธี egg album-induced paw edema และแบบเรื้อรังด้วยวิธี cotton-pellet granuloma tests (20) การป้อนน้ำคั้นจากผล ขนาด 200 มคล./ตัว/วัน เป็นเวลา 8 วัน แก่หนูเม้าส์ที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดข้ออักเสบด้วย anticollagen antibody และ LPS พบว่ามีผลลดการอักเสบได้ โดยลดความหนาของหลังเท้าหนู (19)
เมื่อให้หนูเม้าส์กินอาหารไขมันสูงซึ่งมีน้ำคั้นจากผลมะระผสมอยู่ 1.5% เป็นเวลา 16 สัปดาห์ เปรียบ เทียบกับหนูที่กินอาหารไขมันสูงอย่างเดียว พบว่ามะระมีผลทำให้ระดับของ NF-kB1, IL-16, IL-22 และ IL-17R ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้การอักเสบของระบบประสาทในสมองที่สูงขึ้นเนื่องจากอาหารไขมันสูงลดลงเป็นปกติได้ (21) ในหนูเม้าส์ที่กินอาหารไขมันสูงซึ่งมีผงผลมะระผสมอยู่ 2% และ 5% เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ามีผลลดการแทรก (infiltration) ของเซลล์ macrophage ไปยังเนื้อเยื่อไขมันบริเวณอัณฑะ (epididymal adipose tissues) และเนื้อเยื่อไขมันสีน้ำตาล (brown adipose tissues) ลดการแสดงออกของ monocyte chemo-tactic protein-1 (MCP-1), IL-6 และ TNF-a ในเนื้อเยื่อไขมัน และลดระดับของสารเหล่านี้ในเลือดของหนู (22)
การศึกษาในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้อ้วนด้วยการกินอาหารไขมันสูง เมื่อให้ผงผลมะระ ขนาด 300 มก./กก. เป็นเวลา 8 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับหนูอ้วนที่ได้รับยารักษาเบาหวาน pioglitazone ขนาด 10 มก./กก. พบว่ามะระมีผลลดระดับของสารพิษ (endotoxin) ในพลาสมา ลดระดับของ TNF-a, IL-6 และ MCP-1 เพิ่มระดับของ IL-10 ในเลือด และยับยั้ง IkBa/NF-kB และ JNK1/p38 MAPK signaling pathways ในเนื้อเยื่อไขมันของหนูได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับยา pioglitazone (23)
4. ฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด
รายงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับฤทธิ์รักษาเบาหวานของมะระในรูปแบบต่างๆ มีดังนี้
น้ำคั้นจากผล
การศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานที่ดื่มน้ำคั้นจากผล ขนาด 50 มล. (24) หรือ 100 มล. (25) ก่อนที่จะทำการทดสอบความทนทานต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test, OGTT) โดยได้รับกลูโคส 50 ก. พบว่าช่วยให้สภาวะการทนต่อกลูโคสในผู้ป่วยเบาหวานดีขึ้น 73% และไม่มีผล 27% (25) ระดับน้ำตาลในเลือดผู้ ป่วยลดลง (24) ปริมาณอินซูลิน และค่าระดับน้ำตาลสะสม (glycosylated haemoglobin, HbA1C) เพิ่มขึ้น และพบว่าหากใช้มะระทอด จะทำให้ฤทธิ์ในการลดน้ำตาลลดลง (24)
การเปรียบเทียบผลของผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานน้ำคั้นจากผลมะระ ขนาด 55 มล./วัน และผู้ป่วยที่ได้รับยารักษาเบาหวาน rosiglitazone ขนาด 4 มก./วัน กับกลุ่มควบคุมที่เป็นคนปกติ พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับ น้ำคั้นจากผลมะระมีระดับของกรดเซียลิกและน้ำตาลในเลือดไม่แตกต่างจากคนปกติ ระดับของคอเลสเตอ-รอลรวมแม้ว่าจะสูงกว่าคนปกติ (192 และ 170.6 มก./ดล. ตามลำดับ) แต่ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ (160-200 มก./ดล.) ส่วนผู้ป่วยที่ได้รับยา rosiglitazone มีระดับของกรดเซียลิก น้ำตาลในเลือด และคอเลสเตอรอลรวมสูงกว่าเมื่อเทียบกับคนปกติ และในผู้ป่วยบางรายเกิดอาการเบาหวานขึ้นจอตาและมีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย และยังคงมีระดับคอเลสเตอรอลรวมและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง ส่วนปริมาณของกรดเซียลิกในผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่ม ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่าน้ำคั้นมะระมีผลลดน้ำตาลและลดไขมันในเลือดได้ดีกว่ายา rosiglitazone และไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย (26)
ผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับแคปซูลมะระ ขนาด 2 และ 4 ก./วัน (1 แคปซูลประกอบด้วยผงน้ำคั้นผลมะระแห้ง 1 ก.) หรือได้รับยา glibenclamide ขนาด 5 มก./วัน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่ามะระมีผลลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยได้ แต่ฤทธิ์น้อยกว่ายา glibenclamide นอกจากนี้ยังมีผลลดระดับของกรดเซียลิก คอเลสเตอ- รอลรวม LDL ไตรกลีเซอไรด์ ลดอัตราส่วนของคอเลสเตอรอลรวม/HDL และ LDL/HDL แต่เพิ่มระดับของ HDL โดยขนาด 4 ก. จะให้ผลดีกว่าขนาด 2 ก. และดีกว่ายา glibenclamide แสดงว่ามะระมีผลลดน้ำตาลในเลือดได้น้อยกว่ายา glibenclamide แต่ลดไขมันในเลือดได้ดีกว่า (27)
การศึกษาผลลดน้ำตาลในเลือดแบบเฉียบพลันของผงน้ำคั้นจากผลมะระขี้นกที่ผ่านวิธีการทำแห้งแบบ แช่เยือกแข็งในผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวาน ซึ่งมีความทนต่อกลูโคสบกพร่องเมื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดด้วยวิธี อดอาหาร (impair fasting glucose, ระดับน้ำตาลในเลือด 100-125 มก./ดล.) จำนวน 30 คน ซึ่งในจำนวนนี้พบว่าเป็นผู้ที่มีความทนต่อกลูโคสบกพร่อง เมื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานกลูโคส 2 ชม. (impair glucose tolerance subgroup, ระดับน้ำตาลในเลือด 140-199 มก./ดล.) จำนวน 14 คน โดยแบ่งผู้ถูกศึกษาทั้งหมดออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับยาหลอก และกลุ่มที่ได้รับแคปซูลผงน้ำคั้นแห้ง ขนาด 1,800 มก. (1 แคปซูล มีผงน้ำคั้นแห้ง 450 มก.) เป็นเวลา 30 นาที ก่อนได้รับกลูโคส 75 ก. หลังจากนั้นทำการสลับกลุ่มกัน โดยมีช่วงหยุดพัก 1 สัปดาห์ พบว่าการรับประทานมะระขี้นกผงแห้งเพียงครั้งเดียว ไม่ช่วยให้ความทนต่อน้ำตาลของผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานทั้งหมดดีขึ้น แต่ทำให้ความทนต่อน้ำตาลของผู้ที่มีภาวะก่อนเบาหวานเมื่อวัดระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานกลูโคส 2 ชม. (impair glucose tolerance subgroup) ดีขึ้น โดยสามารถลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้หลังจากรับประทานยาไปแล้วตั้งแต่ 1.5-2 ชม. และไม่พบอาการข้างเคียงที่เป็นอันตราย (28)
สารสกัด
เมื่อให้ผู้ป่วยเบาหวาน ดื่มสารสกัดน้ำจากผลมะระดิบ [การเตรียมสารสกัดจะใช้ผลมะระดิบมาปั่นกับน้ำแล้วปรับปริมาตรด้วยน้ำให้เป็น 150-200 มล. ซึ่งปริมาณของมะระ (หน่วยเป็น ก.) ที่ใช้ จะคำนวณโดยใช้ นน.ตัวของผู้ป่วย (กก.)x2)] พบว่า 86% ของผู้ป่วย มีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ทั้งในการวัดด้วยวิธีตรวจน้ำตาลหลังอดอาหาร 8 ชม. (fasting blood glucose level) และวิธีการตรวจน้ำตาลหลังรับประทานอาหาร 2 ชม. (2-hour postprandial blood glucose level) ขณะที่ผู้ป่วยอีก 5% มีระดับน้ำตาลในเลือด หลังอดอาหาร 8 ชม. ลดลงเพียงอย่างเดียว (29)
ผู้ป่วยเบาหวานซึ่งรับประทานแคปซูลสารสกัดน้ำจากมะระเพียงอย่างเดียว (มีสารสกัด 500 มก./แคปซูล) หรือแคปซูลสารสกัดน้ำจากมะระที่เสริมโครเมียมและสังกะสี (มีสารสกัด 500 มก., โครเมียม 50 มคก. และสังกะสี 5 มก./แคปซูล) ในขนาด 1 ก./วัน ก่อนอาหาร เป็นเวลา 4 เดือน และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก พบว่าผู้ป่วยที่รับประทานแคปซูลสารสกัดน้ำจากมะระเพียงอย่างเดียว จะมีระดับของ HbA1c ลดลง เมื่อเทียบกับกลุ่มที่รับประทานแคปซูลสารสกัดน้ำจากมะระซึ่งเสริมโครเมียมและสังกะสีและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก สารสกัดน้ำจากมะระไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายและไม่มีผลต่อการทำงานของตับในช่วงเวลาที่ทดสอบ (30)
การศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผงผลมะระแห้ง ขนาด 15 ก./วัน โดยแบ่งรับประทาน ครั้งละ 5 ก. วันละ 3 ครั้ง และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดน้ำ (เตรียมโดยนำผลสด 100 ก. ต้มในน้ำ 200 มล. จนกระทั่งปริมาตรน้ำลดเหลือ 100 มล.) เพียงครั้งเดียวในตอนเช้า เป็นเวลา 21 วัน พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยลดลง โดยที่สารสกัดน้ำจะให้ผลดีกว่าผงมะระแห้ง (31) และในผู้ป่วยเบาหวานซึ่งยังไม่เคยได้รับยารักษาเบาหวานมาก่อนหรือได้รับยารักษาเบาหวานแต่ควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี เมื่อให้รับประทานผงผลมะระ สารสกัดน้ำ และ 95% เอทานอลจากผล ในขนาดต่ำ 0.5 ก./กก./วัน และขนาดสูง 1.5 ก./กก./วัน เป็นเวลา 14 วัน พบว่าผงผลมะระ สารสกัดน้ำ และ 95% เอทานอลจากผลทั้ง 2 ขนาด สามารถลดน้ำตาลในเลือดและปัสสาวะ (glycosuria) ของผู้ป่วยได้ทั้งสองกลุ่ม แสดงว่ามะระมีผลลดน้ำตาล เมื่อใช้เพียงอย่างเดียวหรือให้ร่วมกับยารักษาเบาหวาน โดยจะใช้ในขนาดต่ำหรือขนาดสูงขึ้นอยู่กับระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วย (32)
การศึกษาในผู้ป่วยเบาหวาน โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ได้รับยารักษาเบาหวาน metfor-min ขนาด 0.5 ก. วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร กลุ่มที่ 2 ได้รับยา glibenclamide ขนาด 5 มก. วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร และกลุ่มที่ 3 ได้รับยาทั้ง 2 ชนิดร่วมกัน วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เป็นเวลา 7 วัน หลังจากนั้นในแต่ละกลุ่มจะได้รับส่วนสกัดด้วยคาร์บอนเตตระคลอไรด์และเบนซีนที่แยกได้จากสารสกัดเมทานอลของผลมะระ ขนาด 200 มก. ร่วมกับยาในขนาดที่ลดลงครึ่งหนึ่ง (metformin 0.25 ก., glibenclamide 2.5 มก.) วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เป็นเวลา 7 วัน พบว่าส่วนสกัดจากมะระมีผลทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้ดีกว่าการใช้ยาเพียงอย่างเดียว (33)
น้ำมะระหมัก
เมื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานดื่มเครื่องดื่มน้ำมะระหมัก (ไม่ระบุขนาด) ในตอนเช้า พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงทั้งในการตรวจน้ำตาลหลังอดอาหาร 8 ชม. และหลังรับประทานอาหาร 2 ชม. (31% และ 25% ตาม ลำดับ) และในผู้ป่วยที่ให้ดื่มน้ำมะระหมักต่อเนื่องเป็นเวลา 5 เดือน พบว่ามีผลลดระดับน้ำตาลในเลือดได้เช่นกัน (43% และ 41% ตามลำดับ) (34)
ผงมะระ
การศึกษาเปรียบเทียบผลในการลดน้ำตาลในเลือดของมะระขี้นกกับยา metformin ในผู้ป่วยเบาหวาน จำนวน 143 คน อายุ 35-70 ปี โดยให้รับประทานแคปซูลมะระ ขนาด 0.5, 1 และ 2 ก./วัน (1 แคปซูลประกอบด้วยผงผลมะระแห้ง 0.5 ก. และมีปริมาณของสาร charantin 0.04-0.05%) หรือยา metformin ขนาด 1 ก./วัน นาน 4 สัปดาห์ พบว่าแคปซูลมะระ ขนาด 2 ก./วัน มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ปานกลาง และลดระดับฟรุกโตซามีน (fructosamine) ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของการควบคุมน้ำตาลในเลือดในระยะเวลาสั้น 1-2 สัปดาห์ แต่มีฤทธิ์น้อยกว่ายา metformin ในเรื่องความปลอดภัยไม่พบผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย แต่การรับประทานแคปซูลมะระในขนาด 2 ก. ทำให้ผู้ป่วยบางรายมีความอยากอาหารเพิ่มขึ้น มีผู้ป่วยหนึ่งรายที่มี ค่าเอนไซม์ alanine aminotransferase (ALT) และ aspartate aminotrans-ferase (AST) ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของตับสูงขึ้นเล็กน้อย จึงไม่แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับผิดปกติหรือเป็นโรคตับรับประทาน (35)
การศึกษาแบบย้อนหลังเป็นเวลา 8 ปี ของการใช้มะระขี้นกในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ โดยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงน้อยถึงปานกลาง ซึ่งได้รับแคปซูลผงมะระขี้นกขนาด 800-1,600 มก./วัน ร่วมกับยาเบาหวาน (glibenclamide, glipizide และ/หรือ metformin) พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลง และมีผลข้างเคียงเล็กน้อย คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่ไม่มีผลต่อตับและไต แสดงว่ามะระขี้นกอาจนำมาใช้ร่วมกับยาเบาหวานแผนปัจจุบันในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ (36) นอกจาก นี้ยังมีการศึกษาแบบย้อนหลังเป็นเวลา 2 ปี ในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับแคปซูลมะระขี้นกเป็นยาเดี่ยว (ไม่ระบุขนาดที่ใช้) จำนวน 65 ราย พบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดใกล้เคียงกับเกณฑ์มาตรฐาน (<130 มก./ดล.) ค่า HbA1c และค่าการทำงานของตับและไต (creatinine clearance, BUN, ALT และ AST) อยู่ในเกณฑ์ปกติ และเมื่อใช้มะระขี้นกร่วมกับยาแผนปัจจุบัน glibenclamide พบว่าผู้ป่วยจำนวน 45 ราย มีระดับน้ำตาลและค่า HbA1c ลดลง อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ค่า BUN, creatinine clearance รวมถึงระดับคอเลสเตอรอลรวมและไตรกลีเซอไรด์ลดลง แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนค่า LDL มีค่าลดลงอยู่ในเกณฑ์ และลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (37)
การศึกษาในผู้ป่วยที่เพิ่งเป็นเบาหวานหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับแคปซูลมะระ (ไม่ได้ระบุปริมาณของมะระในแต่ละแคปซูล) ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร และยาหลอก เป็นเวลา 3 เดือน พบว่ามะระมีผลทำให้ค่า HbA1c ลดลง แต่ไม่ชัดเจน ไม่แตกต่างอย่างมีนัย สำคัญเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และไม่มีผลลดระดับน้ำตาลในเลือด ระดับคอเลสเตอรอลรวม น้ำหนักตัว creatinine, ALT, AST โซเดียม และโพแทสเซียม โดยมีผลข้างเคียงในผู้ป่วยบางราย คือ ท้องเสีย ปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ กระเพาะและลำไส้อักเสบ (gastroenteritis) เจ็บหน้าอก กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และเป็นไข้ (38)
การศึกษาผลการลดน้ำตาลในเลือดของมะระร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ ในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานยา glibenclamide ขนาด 0.5-1 เม็ด/วัน โดยระยะแรกให้ผู้ป่วยรับประทานผงผลมะระ ขนาด 4 ก./คน/วัน เป็นเวลา 21 วัน ระยะที่ 2 ให้รับประทานผงเมล็ดลูกซัด ขนาด 50 ก./คน/วัน เป็นเวลา 21 วัน และระยะที่ 3 ให้รับประทานผงผลมะระ ขนาด 2 ก./คน/วัน ร่วมกับผงเมล็ดลูกซัด ขนาด 25 ก./คน/วัน เป็นเวลา 21 วัน โดยแต่ละช่วงมีระยะเวลาห่างกัน 15 วัน พบว่าการใช้มะระและลูกซัดเพียงอย่างเดียว หรือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยลดลงได้ ซึ่งการให้ร่วมกันจะให้ผลดีที่สุด และมะระจะลดน้ำตาลในเลือดได้ดีกว่าลูกซัด (39) เช่นเดียวกับการศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานที่รับประทานแคปซูลหรือบิสกิตเค็มซึ่งมีส่วนผสมของผงผลมะระ เมล็ดหว้า และเมล็ดลูกซัด โดยให้รับประทานแคปซูลหรือบิสกิต ขนาด 1 ก./วัน เป็นเวลา 45 วัน ต่อจากนั้นให้รับประทานขนาด 2 ก./วัน เป็นเวลา 45 วัน พบว่าผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงและสามารถลดการรับประทานยารักษาเบาหวานลงด้วย (40)
โปรตีน
การศึกษาในผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับการฉีดโปรตีนจากส่วนผลของมะระที่มีโครงสร้างคล้ายกับอินซูลิน (vegetable insulin) (41) หรือฉีด Polypeptide-p ที่แยกได้จากผลมะระ (7) โดยขนาดที่ให้ขึ้นกับระดับน้ำตาลในเลือด ได้แก่ ระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า 180 มก./100 มล. ให้ 10 units; 180-250 มก./100 มล. ให้ 20 units; 250 มก./100 มล. หรือมากกว่า ให้ 30 units พบว่าผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดลดลง (7, 41) ผู้ป่วยที่มีอายุน้อยจะตอบสนองได้ดี แต่ผู้ป่วยสูงอายุให้ผลไม่ชัดเจน สาร Polypeptide-p ออกฤทธิ์นาน 4-8 ชม. ส่วน crystalline bovine insulin ออกฤทธิ์ 2 ชม. เท่านั้น (7) และไม่พบการแพ้ในผู้ป่วยที่ได้รับโปรตีนจากมะระ
นอกจากส่วนผลของมะระที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดแล้ว ใบและเมล็ดของมะระก็มีผลลดน้ำตาลได้เช่นกัน โดยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยาเม็ดใบมะระแห้ง ขนาด 60, 80 และ 100 มก./กก. เพียงครั้งเดียว จะมีระดับของอินซูลินสูงขึ้นและน้ำตาลในเลือดลดลง ซึ่งขนาด 100 มก./กก. จะให้ผลดีที่สุด และไม่พบอาการข้าง เคียงที่เป็นอันตราย (42) และผู้ป่วยเบาหวานทั้งชนิดที่พึ่งและไม่พึ่งอินซูลินที่รับประทานเมล็ดมะระดิบ (ไม่ระบุขนาด) พบว่ามีระดับน้ำตาลในเลือดลดลงทั้งสองกลุ่ม (43)
สำหรับการศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีที่ไม่เป็นเบาหวานซึ่งได้รับมะระบรรจุในแคปซูล ขนาดเทียบเท่ากับผลสด 8 ผล/วัน เป็นเวลา 1 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้ยาหลอก พบว่ามะระมีฤทธิ์อย่างอ่อนในการลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยผ่านกลไกการเพิ่มความไวต่ออินซูลิน (44) ขณะที่อีกการศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีที่มีน้ำหนักเกินซึ่งได้รับน้ำคั้นจากผลซึ่งผ่านการทำแห้งแบบแช่เยือกแข็ง ขนาด 50 และ 100 มก./กก.นน.ตัว ก่อนได้รับกลูโคส 75 ก. พบว่าน้ำคั้นจากมะระไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลและระดับอินซูลินในเลือดพลังงานที่ใช้ไป (energy expenditure) และความอยากอาหารของอาสาสมัคร (45)
6. อาการข้างเคียง
คลื่นไส้ วิงเวียน ชาปลายมือปลายเท้า น้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemic coma) อาการชักในเด็ก ท้องเดิน ท้องอืด ปวดศีรษะ และอาจเพิ่มระดับเอนไซม์ gamma-glutamyl transferase และ alkaline phosphatase ในเลือดได้ (46)
7. ความเป็นพิษทั่วไป
1. การทดสอบความเป็นพิษ
น้ำคั้นจากผล
เมื่อให้คนรับประทานน้ำคั้นจากผลในขนาด 50 มล./วัน (4) หรือน้ำต้มจากผลแห้ง ขนาด 500 มก./คน (47) ไม่พบพิษ
ในสัตว์ทดลองเมื่อป้อนหนูแรทและหนูเม้าส์ด้วยผงน้ำคั้นจากผลมะระขี้นก ขนาด 5 ก./กก. พบว่าสัตว์ทดลองไม่ตายและไม่มีอาการผิดปกติ การฉีดผงน้ำคั้นจากผล ขนาด 500, 600 และ 700 มก./กก. เข้าทางช่องท้องของหนูแรท และขนาด 600, 800 และ 1,000 เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ พบว่ามีค่า LD50 อยู่ในช่วง 500-5,000 มก./กก. ซึ่งจัดว่ามีพิษเล็กน้อย โดยอาการพิษที่พบในหนูแรท คือ ซึม ไม่เคลื่อนไหว หายใจช้าลง ส่วนหนูเม้าส์มีเลือดออกในตา (48)
การฉีดน้ำคั้นจากผล ขนาด 15 มล./กก. เข้าทางช่องท้องหนูแรท (49) และกระต่าย (4) และขนาด 40 มล./กก. เข้าทางช่องท้องหนูแรท (4) มีผลทำให้สัตว์ทดลองตายภายใน 18 ชม. ส่วนการป้อนกระต่ายด้วยน้ำคั้นจากผล ขนาด 6 มล./กก. พบว่ากระต่ายตายหลังจากได้รับน้ำคั้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 23 วัน (49) เมื่อฉีดน้ำคั้นจากผลเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ พบว่ามีค่า LD50 เท่ากับ 91.9 มก./100 ก. นน. ตัว (50)
สารสกัดจากผลและส่วนอื่นๆ
การป้อนหนู gerbil ด้วยสารสกัด 95% เอทานอลจากผล ขนาด 110 มก./100 ก. นน. ตัว เป็นเวลา 30 วัน ไม่พบพิษ แต่ถ้าให้ในขนาด 150-200 มก./100 ก. นน. ตัว พบว่ามีสัตว์ทดลองตาย 20-30% (51) การป้อนสารสกัดเอทานอลจากผลขนาด 2 ก./กก. ไม่ก่อให้เกิดพิษเฉียบพลันและไม่ทำให้หนูเม้าส์ตาย (12) และการป้อนกระต่ายด้วยสารสกัดจากผล (ไม่ระบุชนิดสารสกัด) ขนาด 8 ก./กก. (52) พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษ
เมื่อฉีดสารสกัด 50% เอทานอลจากผลเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ (11) หรือฉีดสารสกัด 70% เอทา-นอลจากผลเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ (50) มีค่า LD50 เท่ากับ 681 มก./กก. (11) และ 362.34 มก./100 ก.นน.ตัว ตามลำดับ (50) สารสกัดน้ำจากผลเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหรือใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ มีค่า LD50 เท่า กับ 16 และ 27 มคก./มล. ตามลำดับ (53)
สารสกัดคลอโรฟอร์มจากผล ขนาด 1 ก./กก. ส่วนสกัดที่ได้จากสารสกัด 80% เอทานอลจากผล ขนาด 15 มล./กก. และส่วนสกัดที่ได้จากสารสกัด 80% เอทานอลจากใบ ขนาด 24.3 มล./กก. เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูถีบจักร พบว่าทำให้สัตว์ทดลองตายภายหลังจากได้รับสารสกัดเป็นเวลา 24 ชม., 4 ชม. และ 1.15 ชม. ตามลำดับ (54)
เมื่อป้อนสารสกัด 50% เอทานอลจากทั้งต้น ขนาด 10 ก./กก. หรือฉีดสารสกัดเดียวกันนี้ในขนาด 20 ก./กก. เข้าใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ (55) หรือฉีดส่วนสกัดอัลคาลอยด์จากเถาเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ ขนาด 14 มก./กก. หรือป้อนกระต่าย ขนาด 56 มก./ตัว (56) พบว่าไม่ทำให้เกิดพิษต่อสัตว์ทดลอง
เมื่อฉีดสารสกัด 50% เอทานอลจากส่วนเหนือดิน (57) หรือจากทั้งต้น (11) เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ มีค่า LD50 เท่ากับ 681 มก./กก. (11, 57)
สารสกัดน้ำจากเมล็ดเมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องของหนูเม้าส์ (58) หรือฉีดโปรตีนที่สกัดจากเมล็ดเข้าทางใต้ผิวหนังของหนูเม้าส์ (59) มีค่า LD50 เท่ากับ 25 มก./กก. (58) และ 26.5 และ 47.8 มก./กก. ในหนูเพศเมียและเพศผู้ตามลำดับ (59)
2. พิษต่อระบบสืบพันธุ์
เมื่อป้อนหรือฉีดสารสกัด 98% เอทานอลจากผลเข้าใต้ผิวหนังของหนู gerbils ขนาด 200-400 มก./กก. เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และในสุนัขที่ได้รับสารสกัด 98% เอทานอลจากผล ขนาด 17.5 ก./ตัว/วัน เป็นเวลา 60 วัน พบว่ามีผลยับยั้งการสร้างอสุจิ (51) สารสกัดเบนซิน สารสกัดเอทานอล และสารสกัดปิโตรเลียมอีเทอร์จากเมล็ด เมื่อป้อนหรือฉีดเข้าทางช่องท้องหนูแรทในขนาด 250 มก./กก. พบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างอสุจิ (60) การป้อนหนูแรทเพศผู้ด้วยน้ำคั้นผลสด ขนาด 5 มล./กก. เป็นเวลา 49 วัน พบว่ามีฤทธิ์คุมกำเนิดได้ (61) และน้ำคั้นจากผล (ไม่ระบุขนาดที่ใช้) มีฤทธิ์ฆ่าอสุจิในหนูแรท (61) สารสกัด 70% เอทานอลจากเนื้อผล ความเข้มข้น 1,280 มคก./มล. มีฤทธิ์ฆ่าอสุจิในหลอดทดลองได้ ขณะที่สารสกัด 70% เอทานอลจากเมล็ดไม่มีผล แต่ทำให้การเคลื่อนไหวของอสุจิน้อยลง (62)
หนูแรทเพศเมียที่ได้รับสารสกัด 70% เอทานอลจากเมล็ดและเนื้อผล ขนาด 200 และ 400 มก./กก. เป็นเวลา 21 วัน พบว่ามีผลยับยั้งการตกไข่ได้ (62) เมื่อป้อนกระต่าย (49) หรือหนูแรท (4) ที่ตั้งท้องด้วยน้ำคั้นจากผล ขนาด 6 มล./กก. พบว่าทำให้มีเลือดออกจากมดลูก (4, 49) และมีกระต่ายตายจากการตกเลือด (49)
3. พิษต่อตัวอ่อน
เมื่อป้อนหนูแรทที่ตั้งท้องด้วยสารสกัดน้ำจากผล (ไม่ระบุขนาด) ในวันที่ 7-14 ของการตั้งท้อง พบว่าทำให้ตัวอ่อนของหนูที่เกิดมามีความผิดปกติ โดยเฉพาะกับอวัยวะสืบพันธุ์ (63) สาร momorcharin ในเมล็ดมะระขี้นกมีผลทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนหนูเม้าส์ในระยะแรกของการสร้างอวัยวะ โดยทำให้เกิดความผิดปกติส่วนหัว ลำตัว และแขนขา (64) แต่สารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 200 มก./กก. (65) และสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบ ขนาด 500 มก./กก. (66) ไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน
เมื่อป้อนหนูแรทเพศเมียด้วยสารสกัด 50% เอทานอลจากผลและส่วนเหนือดิน ขนาด 100 มก./กก. (57) และสารสกัดด้วยน้ำร้อนจากใบ ขนาด 500 มก./กก. (66) พบว่าไม่มีผลยับยั้งการฝังตัวของตัวอ่อน
4. ทำให้แท้ง
เมื่อฉีดสารสกัดน้ำจากเมล็ด ขนาด 8 มก./กก. เข้าทางช่องท้องหนูแรทที่ตั้งท้อง (67) หรือฉีดสารสกัดนี้ที่ขนาด 80 มก./กก. (68) และ 40 มก./กก. เข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ที่ตั้งท้อง (69) พบว่ามีผลทำให้แท้ง สารสกัดเมล็ดด้วยอะซีโตนซึ่งประกอบด้วยสาร 0.08% b-momorcharin และ 0.10% a-momorcharin เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ที่ตั้งท้องได้ 12 วัน ในขนาด 4 มก./กก. มีผลทำให้หนูแท้งได้ (70) แต่การป้อนด้วยสารสกัด 50% เอทานอลจากส่วนเหนือดินและผล ขนาด 100 มก./กก. (57) หรือสารสกัดน้ำจากใบ ขนาด 200 มก./กก. (65) ไม่ทำให้หนูแรทแท้ง
8. วิธีการใช้
8.1 ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)
ผลอ่อนใช้รับประทานเป็นยาเจริญอาหาร โดยต้มให้สุกรับประทานร่วมกับน้ำพริก
8.2 ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ
ใช้แก้ไข้ แก้ร้อนใน เจริญอาหาร โดย
- ชนิดชง รับประทานครั้งละ 1 - 2 ก. ชงน้ำร้อนประมาณ 120 - 200 มล. วันละ 3 ครั้ง
ก่อนอาหาร
- ชนิดแคปซูลและชนิดเม็ด รับประทานครั้งละ 0.5 - 1 ก. วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
เอกสารอ้างอิง
1. พร้อมจิต ศรลัมพ์ รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล วงศ์สถิต ฉั่วกุล และคณะ. สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. กรุงเทพฯ: บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ จำกัด, 2535:257 หน้า.
2. นันทวัน บุณยะประภัศร อรนุช โชคชัยเจริญพร, บรรณาธิการ. สมุนไพรไม้พิ้นบ้าน เล่ม 3. กรุงเทพฯ: บริษัท ประชาชน จำกัด, 2542:823 หน้า.
3. Lotlikar MM, Rajarama MR. Note on hypoglycemic principle isolated from the fruits of Momordica charantia. J Univ Bombay 1960;29:223.
4. Raman A, Lau C. Anti-diabetic properties and phytochemistry of Momordica charantia L. (Cucurbitaceae). Phytomedicine 1996;2(4):349-62.
5. Ng TB, Yeung HW. Bioactive constituents of Cucurbitaceae plants with special emphasis on Momordica charantia and Trichosanthes kirilowii. Proc fifth Asian symposium on medicinal plants and spices; August 20-24 1984; Seoul, Korea; 1984:p.183-96.
6. Lotlikar MM, Rajarama Rao MR. Pharmacology of a hypoglycemic principle isolated from the fruits of Momordica charantia. Indian J Pharmacy 1966;28:129.
7. Khanna P, Jain SC, Panagariya A, Dixit VP. Hypoglycemic activity of polypeptide-p from a plant source. J Nat Prod 1981;44(6):648-55.
8. Tan MJ, Ye JM, Turner N, Hohnen-Behrens C, Ke CQ, Tang CP, et al. Antidiabetic activities of triterpenoids isolated from bitter melon associated with activation of the AMPK pathway. Chemistry & Biology 2008;15:263-73.
9. Patel R, Mahobia N, Upwar N, Waseem N, Talaviya H, Patel Z. Analgesic and antipyretic activities of Momordica charantia Linn. fruits. J Adv Pharm Tech Res 2010;1(4):415-8.
10. Mokkhasmit M, Ngarmwathana W, Sawasdimongkol K, Permphiphat U. Pharmacological evaluation of Thai medicinal plants. (continued). J Med Ass Thailand 1971;54(7):490-504.
11. Bhakuni DS, Goel AK, Jain S, Mehrotra BN, Patnaik GK, Prakash V. Screening of Indian plants for biological activity: part XIII. Indian J Exp Biol 1988;26(11):883-904.
12. Ullah M, Showkat M, Ahmed NU, Islam S, Absar M. Evaluation of Momordica charantia L. fruit extract for analgesic and anti-inflammatory activities using in vivo assay. Res J Med Plant 2012;6(3):236-44.
13. ปณต ตั้งสุจริต วีรพล คู่คงวิริยพันธุ์ ยุพา คู่คงวิริยพันธุ์ วันชัย ไอยารัตย์. การตรวจสอบฤทธิ์ระงับปวดและฤทธิ์ต้านอักเสบของพืชผักพื้นบ้านอีสาน. ศรีนครินทร์เวชสาร 2006;21(4):305-10.
14. Biswas AR, Ramaswamy S, Bapna JS. Analgesic effect of Momordica charantia seed extract in mice and rats. J Ethnopharmacol 1991;31(1):115-8.
15. Hsu CL, Fang SC, Liu CW, Chen YF. Inhibitory effects of new varieties of bitter melon on lipopolysaccharide-stimulated inflammatory response in RAW 264.7 cells. J Funct Foods 2013;5(4):1829-37.
16. Lin JY, Tang CY. Strawberry, loquat, mulberry, and bitter melon juices exhibit prophylactic effects on LPS-induced inflammation using murine peritoneal macrophages. Food Chem 2008;107:1587-96.
17. Liaw CC, Huang HC, Hsiao PC, et al. 5b,19-epoxycucurbitane triterpenoids from Momordica charantia and their anti-inflammatory and cytotoxic activity. Planta Med 2015; 81:62-70.
18. Cheng HL, Kuo CY, Liao YW, Lin CC. EMCD, a hypoglycemic triterpene isolated from Momordica charantia wild variant, attenuates TNF-a-induced inflammation in FL83B cells in an AMP-activated proteinkinase-independent manner. Eur J Pharmacol 2012; 689:241-8.
19. Kobori M, Nakayama H, Fukushima K, Ohnishi-Kameyama M, Ono H, Fukushima T, et al. Bitter gourd suppresses lipopolysaccharide-induced inflammatory responses. J Agric Food Chem 2008;56(11):4004-11.
20. Fang QM, Zhang H, Cao Y, Wang C. Anti-inflammatory and free radical scavenging activities of ethanol extracts of three seeds used as Bolengguazi. J Ethnopharmacol 2007;114(1):61-5.
21. Nerurkar PV, Johns LM, Buesa LM, Kipyakwai G, Volper E, Sato R, et al. Momordica charantia (bitter melon) attenuates high-fat diet-associated oxidative stress and neuroinflammation. J Neuroinflammation 2011;8:1-19.
22. Bao B, Chen YG, Zhang L, Xu YLN, Wang X, Liu J, Qu W. Momordica charantia (bitter melon) reduces obesity-associated macrophage and mast cell infiltration as well as inflammatory cytokine expression in adipose tissues. Plos One 2013;8(12):e84075.
23. Juan B, Ying Z, Ying D. Response of gut microbiota and inflammatory status to bitter melon (Momordica charantia L.) in high fat diet induced obese rats. J Ethnopharmacol 2016;194:717-26.
24. Leatherdale BA, Panesar RK, Singh G, et al. Improvement in glucose tolerance due to Mormodica charantia (Karela). BMJ 1981;282:1823-4.
25. Welihinda J, Karunanayake EH, Sheriff MHR, Jayasinghe KSA. Effect of Momordica charantia on the glucose tolerance in maturity onset diabetes. J Ethnopharmacol 1986; 17:277-82.
26. Rahman I, Malik SA, Bashir M, Khan R, Iqbal M. Serum sialic acid changes in non-insulin-dependant diabetes mellitus (NIDDM) patients following bitter melon (Momordica charantia) and rosiglitazone (Avandia) treatment. Phytomedicine 2009;16:401-5.
27. Rahman IU, Khan RU, Rahman KU, Bashir M. Lower hypoglycemic but higher antiatherogenic effects of bitter melon than glibenclamide in type 2 diabetic patients. Nutr J [internet]. 2015 [cited 2016 Feb 15]:2-7. Available from: http://www. nutritionj. com/ content/14/1/13.
28. Bunyamahotama S. Acute hypoglycemic effects of Momordica charantia freezed dried power in impair glucose tolerance cases (IGT). [Dissertation]. Bangkok: Silpakon University; 2004.
29. Ahmad N, Hassan MR, Halder H, Bennoor KS. Effect of Momordica charantia (Karolla) extracts on fasting and postprandial serum glucose levels in NIDDM patients. Bangladesh Med Res Counc Bull 1999;25(1):11-3.
30. Zanker KS, Mang B, Wolters M, Hahn A. Personalized diabetes and cancer medicine: A rationale for anti-diabetic nutrition (bitter melon) in a supportive setting. Curr Cancer Ther Rev 2012;8:66-77.
31. Srivastava Y, Venkatakrishna-Bhatt H, Verma Y, Venkaiah K. Antidiabetic and adaptogenic properties of Momordica charantia extract: an experimental and clinical evaluation. Phytother Res 1993;7(4):285-9.
32. Waheed A, Miana GA, Sharafatullah T, Ahmad SI. Clinical investigation of hypoglycemic effect of unripe fruit on Momordica charantia in type-2 (NIDDM) diabetes mellitus. Pak J Pharmacol 2008;25(1):7-12.
33. Tongia A, Tongia SK, Mangala D. Phytochemical determination and extraction of Momordica charantia fruit and its hypoglycemic potentiation of oral hypoglycemic drugs in diabetes mellitus (NIDDM). Indian J Physiol Pharmacol 2004;48(2):241-4.
34. Devaki CS, Premavalli KS. Evaluation of supplementation of bittergourd fermented beverage to diabetic subjects. J Pharm Nutri Sci 2014;4(1):27-36.
35. Fuangchan A, Sonthisombat P, Seubnukarn T, Chanouan R, Chotchaisuwa P, Sirigulsatien V, et al. Hypoglycemic effect of bitter melon compared with metformin in newly diagnosed type 2 diabetes patients. J Ethnopharmacol 2011;134:422-8.
36. Fuangchan A, Seubnukarn T, Jungpattanawadee D, Sonthisombat P, Ingkaninan K, Plianbangchang P, et al. Retrospective study on the use of bitter melon for type 2 diabetes at Dansai Crown Prince Hospital, Thailand. Srinagarind Med J 2009;24(4):332-8.
37. พึงใจ ภูนิคม วีระศักดิ์ ดำรงพงษ์ นลิน จรุงธนะกิจ ธิติมา เทียบทอง นฤมล พานชัย ปริญญา เม้าโมลี และคณะ. การศึกษาผลการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จากสารสกัดมะระขี้นก. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2557;12(2):18.
38. Dans AML, Villarruz MVC, Jimeno CA, Javelosa MAU, Chua J, Bautista R, Velez GGB. The effect of Momordica charantia capsule preparation on glycemic control in Type 2 Diabetes Mellitus needs further studies. J Clin Epidemiol 2007;60:554-9.
39. Habib A, Gafur A. The hypoglycaemic activity of karela fruits and fenugreek seeds in non-insulin dependent diabetic patients. Pakistan J Pharm 2003;20:37-40.
40. Kochhar A, Nagi M. Effect of supplementation of traditional medicinal plants on blood glucose in non-insulin-dependent diabetics: A pilot study. J Med Food 2005;8:545-9.
41. Baldwa VS, Bhandari CM, Pangaria A, Goyal RK. Clinical trial in patients with diabetes mellitus of an insulin-like compound obtained from plant source. Upsala J Med Sci 1977;82(1):39-41.
42. Lim ST, Jimeno CA, Razon-Gonzales EB, Velasquez EN. The MOCHA DM study: The effect of Momordica charantia tablets on glucose and insulin levels during the postprandial state among patients with type 2 diabetes mellitus. Phil J Inter Med 2010;48:19-25.
43. Grover J, Gupta S. Hypoglycemic activity of seeds of Momordica charantia. Eur J Pharmacol 1990;183:1026-7.
44. Nopchinda S, Chobtum L, Chanprasertyothin S, Ongphiphadhanakul B. Screening for the antidiabetic effect of Momordica charantia using frequent serum intravenous glucose tolerance test and other simplified methods in non-diabetics. Mahidol Univ Ann Res Abstr (Jan 1-Dec 31, 2000) 2001;28:68.
45. Kasbia GS, Arnason JT, Imbeaulta P. No effect of acute, single dose oral administration of Momordica charantia Linn. on glycemia, energy expenditure and appetite: A pilot study in non-diabetic overweight men. J Ethnopharmacol 2009;126:127-33.
46. ประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2558 ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนพิเศษ 184 ง วันที่ 10 สิงหาคม 2558.
47. Khan AH, Burney A. A preliminary study of the hypoglycaemic properties of indigenous plants. J Pak Med Res 1962;2:100-16.
48. Jiratchariyakul W, Phornchirasilp S, Chanchai M, Sabsang A. Hypoglycemic effect and acute toxicity of Momordica charantia fruit juice product. Thai J Pharmacol 2010;32 (2):34-41.
49. Sharma VN, Sogani RK, Arora RB. Some observations on hypoglycaemic activity of Momordica charantia. Indian J Med Res 1960;48(4):471-7.
50. El Batran SAES, El-Gengaihi SE, El Shabrawy OA. Some toxicological studies of Momordica charantia L. on albino rats in normal and alloxan diabetic rats. J Ethnopharmacol 2006;108(2):236-42.
51. Dixit VP, Khanna P, Bhargava SK. Effects of Momordica charantia fruit extract on the testicular function of dog. Planta Med 1978;34:280-6.
52. Akhtar MS. Hypoglycaemic activities of some indigenous medicinal plants traditionally used as antidiabetic drugs. J Pak Med Ass 1992;42(11):271-7.
53. Jilka C, Strifler B, Fortner GW, Hays EF, Takemoto DJ. In vivo antitumor activity of the bitter melon (Momordica charantia). Cancer Res 1983;43(11):5151-5.
54. Kintanar QL, Sison F. Pharmacological screening of Philippine plants using a multidimensional observation technique in mice. Philippine J Sci 1978;107(1-2):71-94.
55. Mokkhasmit M, Swatdimongkol K, Satrawaha P. Study on toxicity of Thai medicinal plants. Bull Dept Med Sci 1970;12(2/4):36-65.
56. Rivera G. Preliminary chemical for pharmacological studies on Cundeamor, Momordica charantia. II. Amer J Pharm 1942;114:72.
57. Dhawan BN, Dubey MP, Mehrotra BN, Rastogi RP, Tandon JS. Screening of Indian plants for biological activity. Part IX. Indian J Exp Biol 1980;18:594-606.
58. Gasperi-Campani A, Barbieri L, Morelli P, Stirpe F. Seed extracts inhibiting protein synthesis in vitro. Biochem J 1980;186:439-41.
59. Prapaitrakul S, Thongpraditchote S, Wongkrajang Y, Pongpan A, Leelamanit W. Biochemical properties and toxicity of proteins from Momordica species cultivated in Thailand. Proceedings of the fifth joint seminar natural medicines: NRCT-JSPS, 15-17 November 2000; Bangkok, Thailand; 2000:152.
60. Naseem MZ, Patil SR, Patil SR, Patil SB. Antispermatogenic and androgenic activities of Momordica charantia (Karela) in albino rats. J Ethnophamacol 1998;61(1):9-16.
61. Koentjoro-Soehadi T, Santa IGP. Perspectives of male contraception with regards to Indonesian traditional drugs. Proc Second National Congress of Indonesian Society of Andrology; August 2-6, 1982; Bali, Indonesia;1982:12pp.
62. Jerald SE, Pandey A, Bigoniya P, Singh S. Antifertility activity of Momordica charantia descourt pulp and seed hydroalcoholic extract. J App Pharm 2012;3(4):682-96.
63. Uche-Nwachi EO, McEwen C. Teratogenic effect of the water extract of bitter gourd (Momordica charantia) on the sprague dawley rats. Afr J Trad 2010;7(1):24-33.
64. Chan WY, Tam PP, Choi HL, Ng TB, Yeung HW. Effects of momorcharins on the mouse embryo at the early organogenesis stage. Contraception 1986;34(5):573-44.
65. Prakash AO, Mathur R. Screening of Indian plants for antifertility activity. Indian J Exp Biol 1976;14:623-6.
66. Saksena SK. Study of antifertility activity of the leaves of Momordica (Karela). Indian J Physiol Pharmacol 1971;15:79-80.
67. Shum LKW, Coi VEC, Yeung HW. Effects of Momordica charantia seed extract on the rat mid-term placenta. Abstr International Symposium on Chinese Medicinal Materials Research; June 12-14, 1984; Hong Kong; 1984:78.
68. Ng TB, Feng Z, Li WW, Chan SH, Yeung HH. Investigation of ribosome inactivating protein-like activity in tissues of Cucurbitaceae plants. Int J Biochem 1989;21(12):1353-8.
69. Dong TX, Ng TB, Wong RNS, Yeung HW, Xu GJ. Ribosome inactivating protein-like activity in seeds of diverse Cucurbitaceae plants. Int J Biochem 1993;25(3):415-9.
70. Yeung HW, Li WW, Law LK, Chan WY. Purification and partial characterization of momorcharins, abortifacient proteins from the Chinese drug, Kuguazi (Momordica charantia seeds). Chang HM, Yeung HW, Tso WW, Koo A (eds): In Advances in Chinese medicinal materials research. Philadelphia: Philadelphia World Scientific Press, 1984:311-8.