อาการไอ
เป็นกลไกที่ดีอันหนึ่งของร่างกายในการขจัดสารที่ระคายเคืองทางเดินหายใจออกมา การไอไม่ใช่โรค แต่เป็นอาการของโรคชนิดหนึ่ง
การไออาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ ดังต่อไปนี้
1.
สาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับโรคเอดส์ ได้แก่ การติดเชื้อที่ทางเดินหายใจ
เกิดจากการได้รับควันต่าง ๆ และสารระคายเคือง การแพ้สิ่งต่างๆ
หรือเนื้องอกที่ทางเดินหายใจ ความผิดปกติของหลอดเลือดที่มาเลี้ยงระบบหายใจ (1)
2. สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคเอดส์
2.1 ปอดบวม
สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่พบในคนปกติและคนที่ภูมิคุ้มกันเสียไป เช่น
เชื้อไวรัส หรือโปรโตซัว ชื่อ นิวโมซิสติกคารินิไอ ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเอดส์
ทำให้เกิดอาการไอแห้ง มีไข้ต่ำ หอบและเหนื่อยมาก
ซึ่งปอดบวมชนิดนี้สามารถรักษาให้หายได้และมียารับประทานเพื่อป้องกันและไม่ให้เกิดซ้ำ
ยาที่ใช้คือ Bactrim ครั้งละ 1 เม็ด
เช้า-เย็น หรือ Depsone วันละ 1 เม็ด
2.2 วัณโรค
เป็นสาเหตุสำคัญของอาการไอในผู้ป่วยเอดส์ จะมีอาการไอแห้ง ๆ
บางครั้งมีเสมหะหรือเลือดปนออกมา มีไข้สูงในช่วงบ่ายและกลางคืน
แต่ไม่ค่อยเหนื่อยหอบ ยาที่ใช้รักษา ใน 2 เดือนแรกให้ยา 4 ตัวพร้อมกัน ได้แก่ Isoniazid, Rifampicin, Etambutol และ Pyrazinamide อีก 4-6
เดือน ใช้ INH และ Rifampicin (2)
ลักษณะการไอ มี 2 ชนิด
1.
ไอมีเสมหะ
เกิดจากทางเดินหายใจหลั่งน้ำเมือกออกมามากผิดปกติกลายเป็นเสมหะติดอยู่
ซึ่งควรให้ยาประเภทขับเสมหะหรือละลายเสมหะในการรักษา ได้แก่ Bromhexine
(Bisolvon®) 8 มก. 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง (3)
2.
ไอแบบไม่มีเสมหะ เกิดจากมีสิ่งระคายเคืองอยู่ในทางเดินหายใจ
ควรให้ยาระงับอาการไอในการรักษา ได้แก่ Dextromethrophan (Romilar®)
15 มก. 1 เม็ด วันละ 3
ครั้ง (3)
ประเภทของยาแก้ไอ
1.
ยาระงับอาการไอ (antitussive) มีผลในการระงับอาการไอ
แต่ไม่ได้แก้ที่สาเหตุ เพียงแต่ทำให้ไอน้อยลงนอนหลับพักผ่อนได้ดีขึ้น
ลดอาการระคายคอ
ช่วยบรรเทาอาการเจ็บกล้ามเนื้อหน้าอกและท้องเนื่องจากอาการไอได้
ยาระงับอาการไอแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม
1.1
ยาระงับอาการไอที่ออกฤทธิ์ที่สมองส่วนกลาง
ยาพวกนี้ออกฤทธิ์โดยไปกดศูนย์การไอ (cough center) ที่สมองส่วน
medulla ยาประเภทนี้มีทั้งที่ใช้แล้วทำให้เกิดการเสพติดและไม่เสพติด
1.1.1 ยาระงับอาการไอประเภทที่ทำให้เกิดการเสพติดได้ เนื่องจากเป็นอนุพันธ์ของฝิ่น เช่น codiene,
morphine ถ้าใช้ในขนาดสูงและติดต่อกันนานจะทำให้เสพติดได้ จึงไม่ควรใช้โดยไม่ปรึกษาแพทย์
เพราะยาพวกนี้จะไปกดศูนย์การหายใจและอาจทำให้เสพติดได้ หญิงมีครรภ์ ทารก คนชรา
จึงควรระมัดระวังในการใช้
1.1.2 ยาระงับอาการไอประเภทที่ไม่เสพติด ได้แก่ dextromethrophan
(อนุพันธ์ของ morphine) แต่ยาชนิดนี้ไม่ควรใช้ในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด
เพราะยานี้จะทำให้ร่างกายหลั่งฮีสตามีนออกมามาก
ในทารกและหญิงมีครรภ์ควรระวังเพราะยาในขนาดสูงๆ จะกดศูนย์การหายใจได้ noscarpine
(สารสกัดจากฝิ่น), diphenhydramine (เป็นพวก antihistamine)
ยานี้ห้ามใช้ในคนที่เป็นต้อหินชนิดมุมเปิด
หอบหืด และไม่ควรรับประทานร่วมกับยาที่ออกฤทธิ์กดประสาทส่วนกลาง
1.2
ยาระงับอาการไอที่ออกฤทธิ์ที่ส่วนปลาย ได้แก่ ยาชาเฉพาะที่ ยาเคลือบ
ยาชาเฉพาะที่จะออกฤทธิ์ยับยั้งการส่งกระแสประสาทที่ตัวรับความรู้สึกในระบบทางเดินหายใจ
ส่วนยาเคลือบจะไปเคลือบที่ Pharyngeal mucosa ทำให้ทางเดินหายใจชุ่มชื้น
ช่วยลดอาการระคายเคือง ซึ่งในปัจจุบันนิยมใช้ยาระงับอาการไอแบบไม่เสพติดมากกว่า
2.
ยาขับเสมหะ (expectorant) เป็นยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นให้มีการหลั่งน้ำเมือกในทางเดินหายใจมากขึ้น
ได้แก่
ammonium carbonate การใช้ควรระวังการใช้ในคนที่เป็นโรคหัวใจ ตับและไต
ipecac syrup ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี
และไม่ควรใช้นานเกิน 1 สัปดาห์
terpin hydrate ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เพราะต้องละลายในอัลกอฮอล์ปริมาณสูง
potassium iodide ถ้าใช้ไปเป็นเวลานานอาจทำให้เกิด iodism (เป็นไข้
พุพอง ปวดแสบปวดร้อนในปาก) ได้
3.
ยาละลายเสมหะ (mucolytic) ออกฤทธิ์ละลายเสมหะโดยลดความข้นเหนียวของเสมหะ มีหลายชนิด เช่น
Bromhexine ออกฤทธิ์ละลายเสมหะโดยไปทำให้
acid mucopolysaccharide ในเสมหะให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กๆ
ทำให้ความเหนียวข้นของเสมหะลดลงและมีปริมาณเพิ่มทำให้บ้วนออกได้ง่าย
แต่อาจทำให้ท้องเสีย ปวดศีรษะ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารควรใช้ด้วยความระวัง
Acetylcysteine ออกฤทธิ์โดยไปตัด disulfide bond ของ mucoprotein
ของเสมหะเล็กลง แต่อาจทำให้หลอดลมบีบเกร็ง กระเพาะอาหารอักเสบ
ควรใช้อย่างระวังในคนชราและคนเป็นหอบหืด
Ambroxol เป็น metabolite ของ Bromhexine ออกฤทธิ์โดยเป็นตัวไปกระตุ้นการสร้าง surfactant ทำให้เสมหะมีความหนืดลดลง
ไม่ควรใช้กับหญิงมีครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก
และผู้เป็นโรคกระเพาะอาหารควรระวัง
4.
ยาอมระงับอาการไอ (antitussive lozenge) ประกอบด้วยยาระงับเชื้อ
เพื่อระงับเชื้อในช่องปากและยาชาเฉพาะที่ โดยหวังผลให้หายเจ็บคอ ยาอมเหล่านี้มักทำในรูปของ lozenge มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ซึ่งน้ำตาลจะช่วยให้ชุ่มคอ เพราะมีคุณสมบัติดูดน้ำเข้าหาตัว ทำให้มีน้ำมากขึ้น จึงช่วยลดอาการระคายเคือง (1)
1. ไอเรื้อรังกว่า
2 สัปดาห์
2. ไข้สูง
เจ็บหน้าอก เหนื่อย หรือเสมหะมีเลือดหรือหนองปน
1. ควรจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ
จะช่วยละลายเสมหะได้ดี
2. บรรเทาอาการไอโดยจิบน้ำมะนาวผสมเกลือ
3.
ในกรณีหายใจลำบาก ควรนอนหนุนหมอนสูงหรือให้นั่งพิงหมอนไว้โดยมีผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด
4.
ในกรณีหายใจแล้วเจ็บหน้าอกอาจกอดหมอนให้แน่นตรงที่เจ็บเวลาไอ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บได้
5.
ไม่ควรกินยาระงับไอ แต่ให้ละลายและขับเสมหะแทน
เพื่อให้เสมหะขับออกมาจากปอด ปอดจะได้สะอาด ไม่สะสมเชื้อโรค อาจให้ผู้ป่วยนอนคว่ำบนหมอนแล้วใช้ผ้าขนหนูวางบนหลังผู้ป่วย
แล้วใช้ฝ่ามือเคาะหลัง (เคาะปอด) เบา ๆ
เพื่อช่วยขับเสมหะออกจากปอด
6.
ควรให้ผู้ป่วยเปลี่ยนอิริยาบถ เช่น เดิน ลุกนั่ง พลิกตัว
เพื่อกระตุ้นการทำงานของปอด
7.
ควรอยู่ในที่ๆ มีอากาศถ่ายเท หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่คนแออัด
มีฝุ่นละอองมาก หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดผู้ป่วยโรคติดเชื้อต่างๆ
8. ควรปิดปากทุกครั้งที่ไอ
กำจัดเสมหะอย่างถูกต้อง ไม่บ้วนเรี่ยราด (3)
1.
บุญเทียม
คงศักดิ์ตระกูล ยุวดี วงษ์กระจ่าง. ระบบทางเดินหายใจ (The Respiratory System). กรุงเทพฯ: ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล 2541:95 หน้า.
2.
ดวงสมร
พันธุเสน วีรสิทธิ์ สิทธิไตรย์ อังคณา สริยาภรณ์ โสภา เธียรวิจิตร. คู่มือการดูแลผู้ติดเชื้อเอดส์โดยครอบครัวและชุมชน. กรุงเทพฯ:บริษัทสำนักพิมพ์สุภาจำกัด 2528:106หน้า.
3.
http://www.aidsaccess.com. Available access 14/01/2003.