สมุนไพรที่ใช้ในโรคงูสวัด เริม

 

เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคเริม คือ Herpes simplex และเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคงูสวัด คือ Varicella zoster เชื้อทั้ง 2 นี้เป็นไวรัสเมื่อเกิดการติดเชื้อครั้งแรกเกิดขึ้นแล้ว ร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อให้หมดจากร่างกายได้ แต่จะยังคงมีเชื้อหลงเหลืออยู่ในร่างกายเป็นเวลายาวนาน โดยเชื้อไวรัสจะอาศัยอยู่ในระบบประสาทกลางที่เซลล์ในปมประสาท เมื่อมีการกระตุ้นของเชื้อไวรัสด้วยเหตุใดก็ตาม เชื้อจะฟื้นตัวแล้วเคลื่อนตัวลงมาตามเส้นประสาทไปยังผิวหนัง ทำให้เกิดการป่วยซ้ำ (recurrence) (1)

โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex (HSV) 2 ชนิด คือ HSV-1 และ HSV-2 ส่วนใหญ่มักพบว่ามีสาเหตุมาจาก HSV-1 ซึ่งทำให้เกิดโรคที่ริมฝีปาก เพดานปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม และหลอดคอ ผู้ป่วยอาจจะให้ประวัติว่าเป็นแผลที่อวัยวะเพศ ปาก และบริเวณรอบทวารหนักมาก่อน ได้แก่ อาการเจ็บ การวินิจฉัยนี้จะทำได้โดยการทำ PCR ซึ่งในบ้านเราเสียค่า
ใช้จ่ายมาก การรักษาให้รับประทาน acyclovir ครั้งละ 200 มก. วันละ 5 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน หรืออาจใช้ acyclovir ทาก็ได้ (2) 

การติดเชื้ออาจเป็น primary infection  จะมีอาการผื่นที่รุนแรง ระยะเวลาที่เป็นนาน 2-3 สัปดาห์ และต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต  ส่วน recurrent infection ต่างกันเพียงเล็กน้อยคือ มีอาการและผื่นเพียงเล็กน้อยในระยะเวลาสั้นๆ 1-2 สัปดาห์ และต่อมน้ำเหลืองไม่โต (1)

การรักษา  acyclovir เป็นยาฆ่าเชื้อไวรัสชนิดแรกที่ใช้ได้ผลดี (3) โดย

Primary infection  ระยะเริ่มแรกให้ใช้

-          acyclovir 200 มก. 5ครั้ง/วัน หรือ famiclovir 250 มก. รับประทานวันละ 3 ครั้ง

-          valaciclovir 1. รับประทานวันละ 2 ครั้ง นาน 7-10 วัน

-          acyclovir ชนิดทา 5% ทาวันละ 4 ครั้ง 5-7 วัน ทำให้ผื่นหายเร็วขึ้น (4)

Recurrent infection  ให้รับประทานยาตั้งแต่เริ่มเห็นผื่นครั้งแรก ไม่นิยมใช้ acyclovir ชนิดทาเพราะได้ผลน้อย การติดเชื้อ HIV จะทำให้อัตราการป่วยซ้ำ (recurrence) ของโรคเริมเพิ่มขึ้น  นอกจากนี้แผลเริมอาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นกระจายทั่วตัวได้ และอัตราการป่วยซ้ำเพิ่มขึ้นเมื่อภูมิต้านทานลดลง (สามารถเพาะเชื้อเริมได้ 79% จากแผลของผู้ป่วยที่มี CD4<50 เซลล์/ลบ.มม. และ 35% จากผู้ป่วยที่มี CD4>50 เซลล์/ลบ.มม. และยังพบในผู้ป่วยเริมที่ติดเชื้อ HIV ด้วย 

-          acyclovir รับประทานครั้งละ 800 มก. วันละ 5 ครั้งต่อวัน หรือ 15-30 มก. ทางหลอดเลือดดำอย่างน้อย 7 วัน

-          valaciclovir รับประทานครั้งละ 1. รับประทาน วันละ 3 ครั้ง

แต่อาจเกิดการดื้อต่อยา acyclovir ได้ในกรณีที่ใช้ยานี้เป็นระยะเวลานาน  ซึ่งในกรณีนี้อาจใช้ยาอื่น คือ

-          foscarnet 40 มก./กก. ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ ทุกๆ 8 ชั่วโมง หรือ 60 มก./กก. ทุกๆ 12 ชั่วโมง เป็นเวลา 3 สัปดาห์

-          ทา trifluridine as 1% ophthalmic solution ทุกๆ 8 ชั่วโมง

-          ทาครีม cidoflovir 3% และ foscarnet 1%

-          ทาครีม cidoflovir 5 มก./กก.ทุกๆ 2 สัปดาห์ (4)

แต่โดยทั่วไปพบว่า การปรับขนาดของยา acyclovir ยังเป็นการรักษาที่ได้ผลดี และการรักษาเฉพาะที่ ใช้น้ำยาประคบ เช่น 3% boric acid, Burow’s solution, 4% zinc sulfate วันละ 3-4 ครั้ง จะสบายขึ้น และทำให้ผื่นแห้งเร็ว (1)

ในปัจจุบันพบว่าเชื้อเริมที่แยกได้จากผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ รวมทั้งผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่องจากสาเหตุอื่น ดื้อยา acyclovir บ่อยขึ้น  อย่างไรก็ดี acyclovir ยังเป็นยาชนิดแรกที่ใช้สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อเริม  ยาอื่นที่มีรายงานว่าใช้ได้ผลดีกับเชื้อเริม คือ famiclovir และ valaciclovir (5)

เอชไอวีและโรคงูสวัด การติดเชื้อ Varicella zoster virus (VZV) ซึ่งเป็นไวรัสก่อโรคอีสุกอีใสและโรคงูสวัด ซึ่งเป็นโรคไข้ออกผื่นชนิดเป็นตุ่มน้ำพองใส ในผู้ที่ติดเชื้อ VZV เป็นครั้งแรกจะปรากฏอาการของโรคอีสุกอีใส แต่ถ้าเป็นการติดเชื้อซ้ำจะเกิดอาการของโรคงูสวัด โดยโรคอีสุกอีใสจะมีลักษณะผื่นแพร่กระจายทั่วร่างกาย ในขณะที่โรคงูสวัดจะมีผื่นขึ้นเป็นแนวยาวตาม dermatome ที่หล่อเลี้ยงด้วยแขนงประสาทจากปมประสาทหนึ่ง ในผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาการของโรคทั้งสองจะรุนแรงกว่าปกติ อาการทางคลินิกจะไม่แตกต่างจากผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันเป็นปกติ ยกเว้นระยะโรคจะกินเวลานานกว่า การเกิดโรคงูสวัดในผู้ติดเชื้อเอชไอวีมักเกิดขึ้นก่อน
ที่จะเข้าสู่ระยะเป็นเอดส์นานหลายปี และเกิดขึ้นได้ทั้งในระยะต้นและระยะท้ายของเอดส์ด้วย โรคงูสวัดจัดเป็นโรคหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มของโรคที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีมักจะมา
โรงพยาบาลในครั้งแรกด้วยโรคงูสวัด ซึ่งมักจะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการติดเชื้อ Candida ในช่องปากแต่ในระยะเอดส์ขั้นรุนแรง รอยโรคของงูสวัดอาจแพร่กระจายไปมากกว่า 20 แห่ง ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง และโรคอาจกลับเป็นซ้ำได้อีก (5)

          การรักษา  แบ่งออกเป็น

การรักษาเฉพาะที่ คือ ทำ wet compression หรือใช้ shake lotion เพื่อให้ตุ่มน้ำแห้งเร็ว  ลดอาการเฉพาะที่  ยาปฏิชีวนะชนิดทา ใช้กับแผลหลังสะเก็ดหลุด

การใช้ยา

1.        ยาแก้ปวด ใช้ได้เป็นระยะ

2.        ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน ให้ในรายที่มีเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน

3.      Acyclovir เป็นยาที่ใช้ได้ผลดี ทำให้อัตราการกำจัด VZV จากตุ่มน้ำเร็วขึ้น ลดอาการปวดในระยะเฉียบพลัน ลดการแพร่กระจายบนผิวหนังและอวัยวะภายใน ให้รับประทาน acyclovir ครั้งละ 800 มก. วันละ 5 ครั้ง นาน 7 วัน หรือให้ทางหลอดเลือด 500 มก./ตร..ผิวหนัง ทุก 8 ชั่วโมง นาน 7 วัน ไม่พบพิษ  ใช้ได้ดีกว่ายารักษาไวรัสตัวอื่นๆ อย่างชัดเจน  โดยเริ่มให้ยาภายใน 48 ชั่วโมง หลังเกิดตุ่มน้ำ (1, 3)

 

การรักษาเป็นการประคับประคองตามอาการ โดยถ้าให้ยาตั้งแต่ระยะต้นจะทำให้อาการไข้และระยะออกผื่นสั้นลง

 

เอกสารอ้างอิง

1.      ปรียา กุลละวณิชย์ ประวิตร พิศาลบุตร.  ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน (Dermatology 2000).  กรุงเทพ:บริษัทโฮลิสติก พับลิซซิ่ง จำกัด, 2540:540 หน้า.

2.      วิชาญ วิทยาศัย ประคอง วิทยาศัย.  เวชปฏิบัติในผู้ป่วยโรคเอดส์.  กรุงเทพฯ:บริษัท โอ.เอส. พริ้นติ้งเฮ้าส์ จำกัด, 2540:316 หน้า.

3.      ปรียา กุลละวณิชย์ ประวิตร พิศาลบุตร.  Sexually Transmitted Diseases.  กรุงเทพ: บริษัทโฮลิสติก พับลิซซิ่ง จำกัด, 2537:386 หน้า.

4.      http://www.hivatis.org. Available access 14/01/2003.

5.      พิไลพันธ์ พุธวัฒนะ.  เอชไอวีและจุลชีพฉวยโอกาส.  กรุงเทพฯ:อักษรสมัย, 2541:504 หน้า.